บทความนี้ตีพิมพ์ใน สยามรัฐ ฉบับวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2529
หน้า 13
สยามสังคีต
พูนพิศ อมาตยกุล
ว่าด้วยเพลงนกแลที่แท้ก็คือเพลงต้อยตริ่ง
ฝรั่งจากอเมริกา เขาเป็นศาสตราจารย์ทางดนตรี มาอยู่เมืองไทยเดือนกว่า ๆ ทุกวันเปิดวิทยุฟังได้ยินเพลง “นกแลก็คือนกแก้ว เสียงแจ้วๆ เป็นจังใดจา” เท่านั้นยังไม่พอ ตอนที่ออกจากโรงแรมเวียงใต้ อันเป็นที่พักไปเดินเล่นซื้อของที่ตลาดบางลำพู ทุกร้านขายเทปตลับ ก็จะเปิดเพลง “นกแล” ชินหูหนักเข้าก็เลยซื้อมาฟัง สนใจมากก็เอาติดกลับไปอเมริกา มาบัดนี้ทราบความว่า เพลงนกแลนี้ ลูกสาวของท่านศาสตราจารย์ร้องได้แล้ว และภาคภูมิใจมาก ฝรั่งเรียกเพลงนี้ว่า “เพลงสำหรับเด็ก”
นั่นก็คือความจริงเกี่ยวกับ “นกแล” เพราะวงนกแลเป็นวงดนตรีเด็กเล็ก ๆ น่ารัก น่าเอ็นดู เจริญเติบโตในด้านการดนตรี ร้องเพลงจนได้ไปทัวร์สหรัฐอเมริกามาแล้ว น่าชื่นชมยินดี และส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กเหล่านี้มีชื่อเสียง ได้สนุกสนานชีวิตในบ้านสะดวกสบายขึ้น ก็คือ “เพลงนกแล” นี่เอง เป็นธรรมชาติของคนทั่วไปว่า เมื่อฟังเพลงไพเราะแล้ว จะร้องได้ก่อนหรือจำเนื้อทำนองได้ก่อนที่จะเอ่ยปากถามเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง ดังนั้นนักแต่งเพลงทุกยุคทุกสมัย จึงเป็นผู้ปิดทองที่หลังพระมานานและก็จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
เหตุที่จะเขียนเรื่องนี้ก็เพราะมีแฟนเพลงและการแสดงที่ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ เดินเข้ามาทักทายผู้เขียนเหมือนเป็นญาติสนิท น่าจะเรียกได้ว่าคุณป้าหรือคุณน้า พอเห็นหน้ากันก็โบกมือหยอยๆ แล้วยิ้มร่าเข้ามาหาบอกว่า “แหม อยากพบมานานแล้ว จะถามเรื่องเพลงนกแลน่ะ เถียงกับเพื่อนเขาหาคนตัดสินไม่ได้” ไม่ทราบว่าต้องกลายเป็นตุลาการตัดสินข้อพิพาทเรื่องเพลงมาตั้งแต่เมื่อใด คุณป้าเธอบอกว่า เพลงนกแลนี้ เป็นเพลงลาวเก่าแก่ ส่วนเพื่อนคุณป้าว่าเพลงนี้เป็นเพลงเขมรเก่า แถมบอกชื่อเสียงโก้เก๋ว่าเดิมชื่อเพลง “เขมรทุบมะพร้าว” โดนเข้าแบบนี้ก็เลยต้องนิ่งคิด แล้วร้องอยู่ในใจเบาๆ สักครู่ตุลาการก็บอกได้ ทั้งนี้เพราะในจิตสำนึกมองเห็นหน้าท่านอาจารย์มนตรี ลอยอยู่ในความจำว่าท่านเคยเล่าเรื่องเพลงต้อยตริ่งให้ฟัง ว่าเป็นเพลงแรกในชีวิตที่ท่านคิดเป็นเพลงเถา
เพลงต้อยตริ่งนี้แหละคือเพลงนกแล ส่วนเขมรทุบมะพร้าวนั้นเป็นคนละเพลงเลยทีเดียว ได้ตอบคุณป้าแฟนเพลงไปว่า ที่คุณป้าว่าเป็นเพลงลาวเก่าแก่นั้น ถูกนิดเดียว ถ้าจะให้ถูกจริงต้องพูดว่า “เป็นเพลงไทยสำเนียงลาวของเก่า” เพราะเพลงนี้เป็นไทยแท้ ๆ มีมานานแต่สมัยโบราณ ชื่อก็เป็นไทยว่า “ต้อยตริ่ง” แต่เนื่องจากหางเสียงไปทางลาว ก็เลยจัดเข้าพวกสำเนียงลาวไว้ บางคนเลยเรียกว่า “ลาวต้อยตริ่ง” ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบรรจุทำนองเพลงนี้ไว้บทละครเรื่องหนามยอกเอาหนามบ่ง ร้องว่า
เพลงต้อยตริ่งนี้แหละคือเพลงนกแล ส่วนเขมรทุบมะพร้าวนั้นเป็นคนละเพลงเลยทีเดียว ได้ตอบคุณป้าแฟนเพลงไปว่า ที่คุณป้าว่าเป็นเพลงลาวเก่าแก่นั้น ถูกนิดเดียว ถ้าจะให้ถูกจริงต้องพูดว่า “เป็นเพลงไทยสำเนียงลาวของเก่า” เพราะเพลงนี้เป็นไทยแท้ ๆ มีมานานแต่สมัยโบราณ ชื่อก็เป็นไทยว่า “ต้อยตริ่ง” แต่เนื่องจากหางเสียงไปทางลาว ก็เลยจัดเข้าพวกสำเนียงลาวไว้ บางคนเลยเรียกว่า “ลาวต้อยตริ่ง” ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบรรจุทำนองเพลงนี้ไว้บทละครเรื่องหนามยอกเอาหนามบ่ง ร้องว่า
"สูเอยจะสนุกจะได้เป็นสุขสบายใจ
สิ้นโศกวิโยคไซร้ ดวงหฤทัยจะเปรมปรีดิ์
จะชื่นหนักหนา จะซ่านกายา
จะแลดูตากับคู่ชีวี
ชม้อยคอยมอง ชม้อยคอยมอง
จะจ้องดูที จะจ้องดูที"
น่าเสียดายที่ไม่ทราบว่าท่านผู้ใดแต่งเอาไว้ เนื่องจากเป็นเพลงไพเราะ ร้องง่ายจำง่าย ก็เลยติดใจคนมาช้านานร่วมร้อย ๆ ปี ครั้นถึงสมัยนิยมเพลงเถา อาจารย์มนตรี ตราโมท ขณะนั้นท่านยังเป็นหนุ่มน้อยอยู่ คิดจะลองทำเพลงเถา คือหาเพลงเก่าอัตราสองชั้นมายืดเป็น 3 ชั้น แล้วตัดลงชั้นเดียว จนเป็นเพลงเถา ท่านก็ทดลองเอาเพลงต้อยตริ่งนี้มาลองทำดู โดยมีหมื่นประคมเพลงประสานซึ่งเป็นผู้ใหญ่ขณะนั้นรับทราบด้วย และเนื่องจากสมัยโน้น ใครคิดทำเพลงใหม่ขึ้นมา ถ้าเป็นผู้เยาว์เขาก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก อาจารย์มนตรีจึงใช้ชื่อหมื่นประคมเพลงประสาน ว่าเป็นผู้ประพันธ์เพลงต้อยตริ่งเถานี้ เป็นเพลงไพเราะน่าฟังมาก ยังร้องมาจนทุกวันนี้ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกได้ไม่นาน สนามม้าก็แข่งม้า ผู้ชายชาตรีสมัยนั้นก็นิยมไปเล่นม้ากัน เสียม้าไม่มีเงินก็ไปหาเงินจากที่อื่นมาเล่น จึงมีเพลงตลก ๆ เกิดขึ้นเพลงหนึ่ง ใช้ทำนองต้อยตริ่งดังนี้
สาวเอยจะบอกให้ อยู่ไปทำไมเอ้กา
อยู่เดียวเปลี่ยววิญญา เชิญแก้วตามาหาคู่ครอง
ฉันรักสาว ๆ แส้ ๆ คนแก่ฉันไม่อยากมอง
ถ้าคนแก่มีเข็มขัดทอง ฉันจะปองรักเธอคนเดียว
สนามม้าจะพาแม่โฉมฉิน ไปเพลสวินสักหกเจ็ดเที่ยว
ไม่ให้พลาดเลย แต่สักนัดเดียว
จะขอเที่ยวกับน้อง ไม่หมองมัว
รับรักตัวพี่สักหน่อย ยอดสร้อยเจ้าอย่าถือตัว
รับรักตัวพี่เป็นผัว พอทองหมดตัวแล้วเราเลิกกัน
ผู้เขียนร้องเพลงนี้เล่นมาแต่เด็ก ๆ แต่ต้องระวังอย่าให้คุณย่าท่านได้ยินเด็ดขาด เพราะท่านจะเอ็ดตะโรทันทีว่าร้องเพลงน่าเกลียด บัดสีบัดเถลิง เรื่องเล่นม้า เรื่องมีผัวปอกลอกทองผู้หญิงเป็นเรื่องราวทราต่ำช้าเพลงขี้ข้าไม่น่าจะเอามาร้อง ใฝ่ต่ำเพลงดี ๆ มีมากมายไม่คิดเอามาร้อง เลว เลว เลว…… ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ลับหลังก็ร้องดังลั่น ร้องเล่นเป็นประจำเสียจนจำได้มาจนบัดนี้ พอร้องเพลง “สาวเอจะบอกให้” ให้คุณป้าผู้ถามปัญหาฟังท่านก็ร้อง อ๋อ ….ยืดยาว ใช่แล้ว ใช่แล้ว ฉันก็จำเพลงนี้ได้ พวกเราเรียกว่า “เพลงสาวเอยจะบอกให้” ท่านยังสำทับต่อไปอีกว่า เพราะว่าหยาบคายด้วยเรื่องเล่นม้าและหลอกปอกลอกทองคน
เป็นอันว่าเพลงนกแล ก็คือเพลงต้อยตริ่ง (ชื่อแท้ของเก่า) และบางที่ก็เรียกว่า เพลงสาวเอยจะบอกให้ ส่วนเพลงเขมรทุบมะพร้าวนั้น มีเค้าคล้าย ๆ กันอยู่ แต่คนละสำเนียง แต่ก่อนนี้เราร้องเพลงเขมรทุบมะพร้าวกันด้วยบทร้องดังนี้
สาวสาวแสนสุดจะสวย รูปร่างสำรวยเอวกลมสมหน้า
รักน้องจนต้องแลหา โปรดหน่อยขวัญตาหันมาทางพี่
……………………………………….
ฯลฯ
เพราะเหตุว่าเนื้อร้องเกี้ยวสาวเหมือนกันหรือไรไม่ทราบคนจึงหลงว่าเป็นเพลงเดียวกันแท้จริงไม่ใช่เพลงเขมรทุบมะพร้าวนี้ คุณสุวิทย์ บวรวัฒนา อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหภาพพม่า ได้แต่งเป็นเพลงเถา แล้วอาจารย์เจริญใจเป็นผู้ประดิษฐ์ทางขับร้อง ให้ชื่อใหม่ว่าเพลง “สาวสุดสวยเถา” คุณจันทรา สุขะวิริยะ หรือคุณจ้อ เป็นผู้ร้องอัดแผ่นเสียงชุดสมบัติของชาติไทยผลิตออกโดยคณะวัชรบรรเลงโดยหมอวรห์ วรเวช เป็นผู้ทำออกเผยแพร่ นับเป็นแผ่นเสียงที่มีคุณค่ายิ่งยักเพราะมีเพลงไพเราะอยู่มากมายหลายเพลงทั้งเพลงเดี่ยวและเพลงเถา เช่น เพลงจินตหราวาตี เพลงโยสรำเถา เพลงมะลิซ้อนเถา เพลงเดี่ยวนกขมิ้น พญาโศก หกบท สุดสงวน องเชียงสือเถา และพญาสี่เสา เป็นต้น
ก่อนจบนึกขึ้นมาได้ว่า เพลงเขมรมะพร้าวนี้คณะสุนทราภรณ์เคยเอามาทำเป็นเพลงเนื้อเต็ม ร้องอย่างสากลโดย คุณเลิศ ประสมทรัพย์ และ ครูศรีสุดา รัชตวรรณ ใช้เนื้อร้องเก่า สาว ๆ แสนสุดจะสวยนี่แหละเป็นเพลงยอดนิยมอยู่สมัยหนึ่ง ยิ่งบรรเลงเป็นสังคีตประยุกต์ด้วยแล้ว ยิ่งไพเราะมาก ตอนนี้ก็ได้ทราบข่าวว่าคุณเลิศ ประสมทรัพย์ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ว่าเป็นเบาหวานจนต้องตัดขา ใครเป็นแฟนคุณเลิศก็น่าจะได้ไปเยี่ยมเยียนกันบ้าง
(เพลงนี้มาจากเพลง สาวเอยจะบอกให้ ซึ่งคุณเลิศแต่งไว้ก่อนแล้ว และบันทึกแผ่นเสียงกับสถิตตราคนคู่ ต่อมาวงดนตรีกรมโฆษณาการได้ไปบรรเลงที่บ้านหม่อมกอบแก้ว อาภากร เมื่อ ๕ เมษายน ๒๔๙๙ คุณเลิศได้พบสาวน้อยหน้าหวานคือ หม่อมหลวงปราลี ประสมทรัพย์ เกิดรักแรกพบ จึงเปลี่ยนเนื้อร้องบางวรรคจากเพลงสาวเอยจะบอกให้ แล้วให้ชื่อเพลงว่า “สาวก้อนแก้ว” และต่อมาบันทึกเสียงเพลงนี้กับวงดนตรีกรมโฆษณาการข้อมูลจากหนังสือ 80ปี เลิศ ประสมทรัพย์ อันทรงคุณค่า)
เป็นอันว่าเรื่องเพลงนกแลนี้ ก็ได้ไขความออกให้กระจ่างแล้ว น่าสังเกตว่าผู้แต่งเพลงนกและจริง ๆ ไม่ได้นำเพลงต้อยตริ่งทั้งเพลงไปทำเป็นเพลงนกแล คงนำเพียงตอนต้นเท่านั้นไปใช้ แล้วแต่งใหม่ต่อไปอีก เพลงของเก่าเรานี้ เป็นสมบัติอันทรงคุณค่ามหาศาล ใช้เท่าไรก็ไม่หมด มีมากมายเป็นพัน ๆ เพลงเสียดายที่คนไทยเราไม่ชอบจด และที่จำได้ก็ไม่จดเลยไม่รู้ประวัติเพลงเก่า ๆ อีกมากมายหลายเพลงมาจนทุกวันนี้
* หมายเหตุจากผู้เขียนบล็อค ทำนองเพลงต้องตริ่งนี้ ยังนำมาเป็นทำนองเพลง "สาวเชียงใหม่" ขอบร้องโดน จรัล มโนเพ็ชร อีกด้วย โดยเค้าเดิมน่าจะนำมาเฉพาะเค้าของสำเนียงลาว ที่ขึ้นต้นเพลง มิได้นำเอาท่อนที่มีลูกล้อมาใช้ในทำนองเพลงแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น