บ่อยครั้งที่ฉันมองลอดออกมาเห็นย่าฮำเพลงซอ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักดนตรีมาแต่ก่อนแรก ย่าฉันก็ยังชอบร้องลิเก เพลงซอสมัยก่อนในสมัยรุ่นสาวๆ ยามเย็นโพล้เพล้ หลังจากวิ่งเล่นตามทุ่งนาเก็บดอกนู้นเม็ดนี่ใส่กระเป๋าเสื้อ แม่จะบ่นเสมอว่าฉันไม่ชอบรักษาเสื้อใส่ทิ้งใส่ขว้างไม่เห็นใจคนซัก แม่พูดพลางซักสองสามทีก็เอาเสื้อฉันโยนลงน้ำลวกๆ ย่ามักจะมีโลกส่วนตัวสูงและชอบนั่งบริเวณขั้นบันใดนั่งคัดยาเบาหวานอย่างใส่ใจ พร้อมกินกล้วยกับข้าวเหนียวเพราะเห็นว่ามันเป็นยาชูกำลัง
ย่าชอบใช้ฉันยกโถฉี่ไปทิ้งเสมอ เพราะคนที่เป็นโรคเบาหวานจะฉี่เยอะ บ้างย่าก็กรนจนฉันนอนไม่หลับ เสียงซอ เสียงร้องลิเกยังคงแว่วผ่านเข้าหูเสมอ บทซอที่ย่าร้องส่วนใหญ่ก็จำมาจากงานวัดสมัยสาวๆ สมัยนั้นงานวัดเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่มากในสายตาหนุ่มสาว เพราะเป็นเทศกาลของการใส่เสื้อนุ่งผ้าสวย เที่ยวงานบุญ ย่าเล่าว่าสมัยสาวๆ นั้นชอบดูลิเกมาก ด้วยเรื่องราวในฝัน และเครื่องแต่งกายเมื่อต้องแสงเทียน แสงไฟนั้นมาบตาม เกินยั้งใจ ทั้งตื่นตาตื่นใจ
ในงานวัดนั้นย่าได้เจอหนุ่มหมู่บ้านใกล้เคียง หนุ่มรูปหล่อ ขี้เล่น และอ่อนโยน ย่าเจอปู่ในงานวัด สองหนุ่มสาวซื้ออ้อยที่บรรจงเสียไม้ไผ่เป็นวงๆ รูปดอกไม้งามตา ตอนนั้นปู่หล่อมาก ย่าเล่าให้ฉันฟังก่อนยิ้มระรื่นกับคืนอันร้อนระอุเดือนเมษา - เราพากันเอาเสื่อกกมาปูนอนกางมุ้งง่ายๆ มองดูแสงดาว รับลมทุ่งแบบบ้านนอก ย่าเล่าแล้วเล่าอีกพรางบอกว่ายังฝันถึงปู่อยู่เสมอ
รอยยิ้มเหี่ยวๆ กับตาเยิ้มๆ ฉันยังจำได้ดี ฟันที่ร่วงหล่นจนหมดปาก ทานข้าวเหนียวกระเด็นกระดอน ฉันพร่ำบ่นถึงความสกปรกที่ไม่รักษาความสะอาด - ฉันไม่กล้าพาเพื่อนมาเยี่ยมบ้านฉันเลย เพราะบ้านฉันเป็นบ้านนอก ถนนลูกรัง มีเสียงล้อ เสียงกระดิ่ง เดงดังเพราะวัวมีควายผ่านหน้าบ้าน ในบ้านก็สปรกแอร์ก็ไม่มี โทรศัพท์บ้านก็ไม่มี รถโดยสารก็เข้าไม่ถึงต้องเดินทางออกไปรอรถตั้ง 3 กิโล ฉันบ่นเสมอ - จ่มอะหยัง มึงเขาใหญ่ได้กับปากกูนี่เนอะ ย่าสวนกลับถึงบุญคุณที่เคยเคี้ยวข้าวให้กิน
ปลายร้อนต้นฝน ฉันตื่นเต้นกับเมนูยามกลับจากโรงเรียน - ทุกเช้าฉันจะปั่นจักรยานไปเรียน และกลับบ้านเสมอ พอกลับมาก็จะหิว หิ๊ว หิว ทุกครา และทุกครั้งแม่กับย่าก็จะทำเมนูพิศดารสร้างความประหลาดใจให้ฉันเสมอ เช่น แกงผักป้อก้ารสเข้มข้น แกงขนุนกล่มกล่อม แกงแคร้อนๆ กับข้าวเหนียวยามเย็นหนึบหนับ และสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นแกงหอย
หอย หนอหอย ตาก็ไม่มี พูดก็ไม่ได้ เอาหน้ามุดดิน ชีวิตมัวหมอง ช้ำชอกความฮัก หาคู่ก็ไม่ได้เห็นหน้ากัน คนหนอคน ช่างงมเราชาวหอย ตัดตูดล้างโคลน ดูดกินม่วนใจ ยายชอบฮำเพลงคร่าวซอหอยไห้ ที่ว่าด้วยความรันทดของหอยที่เกิดมาด้วยชีวิตน่าเศร้ายังไม่พอ ยังต้องมาเป็นอาหารของมนุษย์ และยังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหอยให้ฉันฟังมากมายจนบางครั้งฉันก็อยากมีหอยเป็นของตัวเองแต่งตัว ฟ้อนๆ รำๆ แต่งหน้าทาปากเหมือนย่าเขาบ้าง
30 กว่าปีก่อน เมื่อปู่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทุกคนร่ำไห้กับการจากไป ฉันร้องหาหน้าคนแปลกหน้าที่ชอบมาหยอกเล่นทุกเช้างาย ตอนนี้เด็กขวบครึ่งก็ยังจะคงรู้อะไรไม่มากมาย คอยแต่รอคนใจดีมาหยอกล้อเล่น ฉันผูกพันธ์กับปู่มาก จวบจนวันที่ปู่หายไป ย่าร้องไห้ไม่หยุดจนสติหลุดกลายเป็นคนบ้า ร้องเพลงปีนต้นมะม่วง ต้นมะพร้าวร้องเพลงละครซอ ผูกผ้าสีแดง ดอกไม้ครัวทาน เต้นแร้งเต้นกาทั่วบ้าน ชาวบ้านพากันมามุงดูในความเปิ่นของย่าฉัน ตอนนั้นพ่ออาย และต้องพาย่าไปรักษาที่โรงพยาบาลประสาทจนหายแล้วจึงกลับมา
ฉันถูกเลี้ยงมากับคนบ้า มีคนบ้าเคี้ยวข้าวให้กิน ร้องเล่นเต้นรำ ตีกะลา ต่อยปี๊บ แห่ดนตรีอันจะมีในบ้านเล่นกับย่าสองคนเช้า เย็น เช้า เย็น ความทรงจำนั้นมีความสุขมาก ในที่สุดย่าก็ค่อยๆ หายและอาการดีขึ้นตามลำดับ ฉันอยู่กับย่าเสมอ และทะเลาะกันประจำเพราะหลังจากอาการทางประสาทหาย ย่าก็ชอบด่า ต่อว่าอะไรสารพัด ซึ่งน้อยคนนักที่จะอยู่ได้
ฉันถูกเลือกให้นอนกับย่า เพราะทนกันมานานที่สุด หน้าร้อน ฝนห่าเทลงมาพัดสังกะสีบ้านกระจัดกระจาย ฉันกับย่า วิ่งกระเสือกกระสนเข้าไปหลบในยุ้งข้าว เราร้องไห้เพราะกลัว ไม่มีคนอยู่บ้าน ย่ากอดฉันแน่นพึมพำสวดมนต์ขอเทวดาฟ้าดิน ผีแถน สารพัดเพื่อขอให้ปลอดภัย เราเปียกโชก และหนาวสั่น ฟ้าฝ่า ฟ้าร้องน่ากลัว ย่ายังบ่นเป็นห่วงพ่อกับแม่ที่ออกไปทำสวน ฉันร้องไห้ซิกๆ กอดย่าแน่น และน้ำตาไหลขี้มูกโป่ง
ไม่นานพอฝนซาฟ้าใส แสงแดดอ่อนๆ ทอแสงลงมากระทบหลุ่มร่องน้ำชายคา ระเนืองนองตามข่วงบ้าน มะแลงนี้จะแกงหอย ย่ากล่าวพรางนำหอยที่แช่ไว้มาล้างและบรรจงตัดก้นจงอยออกให้เท่ากัน ไม่น้อยมากเกินไปเพราะไม่งั้นจะดูดไม่ออก ฉันมีหน้าที่ไปเก็บผักตามรั้ว ผักใบยอดเขียวอ่อนต้องแสงแดดยามแลง ฉันใช้นิ้วลิบยอดผักไม้อย่างเพลิดเพลินสนุกกับความเปราะของยอด ลำต้น และกลิ่นเหม็นเขียวชื่นใจ
ขะใจ๋ๆๆๆ หอยจะสุกแล้ว ฉันวิ่งเอาผักไปล้างแล้วเทลงไปแกงหอยสูตรพิศดารคุณย่า หอมขะหนาด ฉันอุทาน จิมแล่ ย่าตักให้ฉัรชิมรสของแกงหอยหลังพายุ ฉันก็ว่ามันเฉยๆ นะไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ เย็นวันนั้นพ่อกับแม่ เหนือยจากงานตรากตรำ อาบน้ำตัวหอมและพรั่งพร้อมกินแกงหอยฝีมือย่า ฉันกินลืมโลก ซากเปลือกหอยเต็มกระบุง เรากินกับดังจุ๊บๆ จั๊บๆ จ๊อกๆ แจ๊กๆ จนหมดหม้อแล้วนอนแผ่หราฟังเสียงกบเขียดระงมร้องตามชายทุ่ง ย่าจองที่นั่งเดิมประจำเป็นเวลาร้องคร่าวซอหอยไห้ แล้วกล่าวถึงความรันทดของชีวิตที่เกิดมาเป็นหอย
ใค่กินอึ่งบ่ามงคล(พ่อฉันเอง) --- ย่าอุทานอยากกินอึ่ง --- เสียดายไม่มีคร่าวซออึ่งไห้ (ฉันเพ้อในใจ)
ด้วยรักและคิดถึงย่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น