อยู่นี่แล้ว


วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

JAZZ MUSIC แบบเบลอ เบลอ วัยรุ่นแซป....

JAZZ MUSIC 
And America Music introduction



                แจ๊สคือการ ผสมผสานกับ วัฒนธรรมของคนผิวดำ ที่เมือง นิวออร์ลีน ทางใต้ของอเมริกา หลุยเซียอะน่ามาตั้งแต่สมัยที่ฝรั่งเศษ เช่นนิวออร์ลีน ก็อาจเอามาจาก ออลีออง หรือนิวออร์เลียน พัฒนาการของดนตรีแจ๊ส อาจมีก่อนหน้ามาจากดนตรีบลูด้วยซ้ำไป

                สไตส์ดนตรีแบบต่างๆ นั้น อาจพูดถึงในแง่ที่ว่า เสียง สไตส์ ปัจจัย สังคม ผู้คน เช่นสภาพแวดล้อมของบลู เช่น เล่นเพื่ออะไร และดับความสามารถเทคโนโลยีต่างๆ ถ้ามองมาทางดนตรีคลาสสิค ที่มีรากเหง้ามายาวนาน เสียงที่สัมพันธ์กับยุคทางดนตรี อาจเกิดจากความหวาดกลัว เช่นกลัวผี มาผสานกับองค์ความรู้ที่เข้ามาผสานอยู่ เช่นในยุคของบาโรค เช่นเสียงที่ง่ายๆ จนผู้คนพัฒนามากกว่าหนึ่งเสียง เกิดการพัฒนาทางด้านองค์ความรู้ 

                เกิดเสียงที่ผสานใหม่ๆ เช่น I- VI- V เป็นต้น Monophonic สองเสียง Chord เริ่มต้นด้วยง่ายๆ แล้วไปยากๆ ทางใต้ของอเมริกา คนงานทำงานเป็นทาส และอยากจะมีวัฒนธรรมความบันเทิง เพื่อร้องรำทำเพลงให้ผ่อนคลาย เริ่มด้วยบลู เพื่อการผ่อนคลายความเครียด ในการเล่นดนตรีมีความรู้ขนาดไหนก็เอามาเล่นดนตรี  กำเนิด ปลาย ศ. 18 ต้น ศ. 19 เครื่องเคาะจะเข้ามามากกว่าของเดิม เน้นทางด้านจังหวะจักโคนที่สนุกสนาน ในรูปแบบจังหวะที่แปลกและต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นพื้นฐานก็ยังเหมือนเดิม แต่เกิดการนำไปใช้ที่ต่างกัน ในการวิเคราะห์เชิงดนตรีมีเรื่องที่จะทำการวิเคราะห์ คือ 1.Harmony   2.Rhythm  3.Melody

                เพราะฉะนั้น Chord จึงมีความสำคัญมากในการแสดงสำเนียงของ ประเภทของดนตรี ที่แสดงออกมาทางจังหวะ และการประสานเสียง บนทำนองที่นำมาทามเป็นวัตถุดิบในการผลิตดนตรี ดนตรีมีมาเพื่อตอบสนองความบันเทิงของคน เพราะฉะนั้นก็สบายๆๆๆๆ ซิวๆ เน้นฝีมือของความสด มากกว่า Composition เพราะฉะนั้นดนตรีของบลู เพื่อตอบสนองในเรื่องของการแสดง สดๆ สนุกๆ รูปแบบก็ค่อนข้างจำกัด รูปแบบท่วงทำนองก็ เกิดการ Revolution จากเดิม มากกว่าการจะคิดทำนองขึ้นมาใหม่ 

                Improvisation คือ การด้นสด หรือ การแต่งทำนองขึ้นมาสดๆ แล้วพัฒนามาถึงตอนต้นของดนตรี แจ๊ส Dixieland Jazz คือพวกดินแดนทางใต้ของอเมริกา อาจเกิดจากความเบื่อทางดนตรี ระหว่าง Blue Jazz แตกต่างกันที่? คนในยุคของ แจ๊สในยุคเริ่มแรกมีองค์ความรู้ที่พัฒนาขึ้นมาจากเดิม เริ่มมีตัวเลข คอร์ดที่ มากกว่าเดิม Many Chord ฉากหลังที่เพิ่มขึ้นมาตระการตา เกิดการหาความรู้ใหม่ที่จะใช้ในการด้นของดนตรีแจ๊ส  ในเรื่องของเสียงประสาน และทำนอง  จังหวะที่เข้ามาในเรื่องของกลองที่เข้ามา เช่นกลองที่เพิ่มขึ้นมา จากกลองเดิม การเล่นส่วนใหญ่ เล่นเพื่อเดิน จึงไม่มีอะไรที่แบกไม่ไหว แต่กลองชิ้นๆๆ เริ่มเข้ามามีบทบาท เพื่อการเดิน (อ.แอบปากคอเราะร้าย)  Sousaphone งูเหลือม อาจใช้สลับกับ ทูบ้า ลักษณะดนตรีเพื่อการเดิน Marching ที่แปลกๆ ไปจากเดิม

                    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่ ก็คือพวกกลอง  พอเริ่มเข้ามาสู่ช่วงของกลองชุดแล้ว ยังมีกลิ่นไอของสะแนร์ เบาบาง เดิมคงเลียนแบบมาจากทูบ้า ในเรื่องของเบสที่ต้องใช้คนเป่าได้  พอหลังจากกลองชุดเข้ามา เกิดการเรียนรู้ที่จะใช้วัตถุดิบ เช่นฉาบ และเกิดการพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ Chord Tone เสียงใน Chord  Collective Improvisation (ส่วนใหญ่อยู่ตรงท้ายเพลง)คือการเล่น Solo ในยุคแรกๆ ทุกคนก็นินทากันว่าตอนแรกก็เล่นไม่เหมือนกัน และสุดท้ายก็ลงจบพร้อมกัน ดูคล้ายลักษณะของดนตรีไทยเชนกัน มีเดี่ยวเรื่องดนตรี เช่น เดียวกลอง ดังเช่นงานของครูบุญยงค์ เกตุคง ในช่วงหลังของ ร.๗ การโยนคือ การเล่นใส่ทำนองของเพลงพม่าห้าท่อน คือการเอาอะไรยัดใส่ข้างใน เช่นเพลงทะยอยนอกเช่นกัน แล้วอาจเอาชวามาใส่ ระบบห้าเสียงที่แตกต่างกันออกไป เช่น ไทย ชวา(ชุนดร้า) ญี่ปุ่น และจีน เพราะฉะนั้นเพลงจีนที่ร้องมาโดนบีบคีย์ เลยต้องเปลี่ยนเสียงลงออกมาจากเดิม 

                การ Improvisation เกิดการเริ่มต้นของ Structure – Intro- ฯลฯ  Chord อาจเหมือนกัน แต่ทำนองแตกต่างกันไป เล่นตามรอบที่แตกต่างกัน โดยการมาตามรอบ และปิดท้ายด้วยทำนองออก และท่อนจบ ลูกจบ การเล่นทำนองขอเข้าเรียกว่า Head ออก และเข้า In and Out ตรงกลางจะเป็น Solo ก็แล้วแต่ 

                Dixieland  1.Melody 2.Improvisation 3.Collectative Improvisation คือ การเล่นไปคนละทางสองทาง 4.Drump Solo มีเพลงตัวอย่างคือ Them “Fate” Waller ทำนองได้รับการแต่งมา เดี่ยวได้ตามใจคิด และมี Ending ท่อนจบ มีตัวลง เช่น Piano แล้วค่อยจบพร้อมกัน ต้องนับจังหวะให้ได้นะคร้าไม่อย่างนั้นจะ จบไม่ได้ นับเป็นจังหวะที่เป็นชุด

                หลังจากนั้นก็เกิดความเบื่อ คือ การมั่วขึ้นมา Collective คือการเล่นพร้อมกันโดยไม่มีอะไรเตรียมมาเลย ก็เลยมีคนที่พยายามที่จะจัดระเบียบมันขึ้นมา 1937-1943 เกิดดนตรี Swing Big Band ลดการมั่วลงไป และเปลี่ยนการต่างคนต่างคิด แต่คิดมา โดยมีคนๆหนึ่งเป็นผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ที่ได้เสียงที่กลมกลืนออกมา และยุคนี้อาจจะบ้าความคิดขึ้นมาหน่อย เพิ่ม Composition ลด Impovisation ลง เกิดการจัดระเบียบขึ้น เกิดการนัวเนีย แต่น้อยลงกว่าเดิมส่วนอันที่เหลือก็คือ ท่อน Solo ที่แต่งขึ้นมาล่วงหน้า เพราะฉะนั้นทุกคนเล่นมาจากโน้ตไม่ใช่หัว ตอนจบก้มีท่อนที่แต่งขึ้นมาแต่มาทั้งวง กำหนดไปเลย เรียกว่า Interlude หรือ Tutti อิอิ อาจแทรกการแต่งขึ้นมาใหม่ ที่เก๋ นิดๆ 

                จากนั้นก็ออกมาจาก นิวออร์ลีน ไปต่างบ้านต่างเมือง เพราะฉะนั้นดนตรีเข้ามาในกลุ่มของคนมีสะตางค์ เพราะการจะเอาดนตรีเข้ามาเล่น ต้องมีนักดนตรี และคนแต่ง เอามาเต้นรำกัน สนุกสนาน เริด เช่นงานบอลลูม งานหรู ใส่สูตรมางาน เพราะฉะนั้นก็จะกำเนิดขึ้นมาเพื่อความไฮโซ มาสู่ดนตรี Big Band เกิดพัฒนาการของ Harmony เพราะฉะนั้นโน้ต จะออกมาเป็นสี ขาว สีดำ BB ยุคของปัญญชนเข้ามามีบทบาทในดนตรี Jazz สีดำเริ่มเยอะขึ้น เกิดความยุ่ง All of me อิอิ ยุ่งวุ่นวาย แต่ไม่เละเทะ เป็นดนตรีสีเทา ทั้งดำ และขาว 

·       Advard Kennedy Ellington ยกย่องกันท่าน Duke เป็นนักเปียโน นักประพันธ์เพลง ยิ่งหญ่ายยย Count Basie เกิดจากการยกย่องของกลุ่มนักฟัง

                เกิดการเริ่มต้นที่อะไรๆๆ มานออกมาพร้อมกัน เขียนมาอย่างเห็นได้ชัดเจน  เกิดการโซโล ของเพลงการแทรกของทำนอง แล้วจบโดย ไม่บอกล่าว มีโน้ต  การเล่นของวงดนตรี จากใต้ถุนบ้าน มาเป็นห้องหรู เพราะฉะนั้นต้องนั่งอยู่กับที่และมีโน้ตกาง อย่างเป็นทางการ

                ส่วนการร้องเพลงแจ๊ส บลู นี่จะเข้าข่ายดนตรี คือ ไม่ได้คิดอะไรในเชิงเสียงประสาน และสามารถร้องออกมาสดๆ เนื้อเพลงคิดออกมาได้เรื่อยๆ และดนตรีก็อยู่ในขอบข่ายของ ดนตรีที่กำหนดมา Lick คือเลีย แบล๊บ ๆๆๆ  ทำนองที่ออกมาเป็นลูก คิดออกมาเป็นลูก มาต่อกันเรื่อยๆ 

                หลังจากนั้นยุคของแจ๊ส Louis Armstrong แล้วค่อยมาถึงการดัดแปลงทำนอง Melodic Embricment เกิดการดัดแปลงทำนอง เช่นยัย Billie Holiday การดัดแปลงที่มากและน้อย ของเพลงไปในแบบที่แตกต่างกัน  คือลักษณะที่โดดเด่นของ แจ๊ส  Scat คือการร้องที่ไม่มีเนื้อ ซุ ปิ ดู ปับ ปา ฯลฯ คือการตัดเนื้อร้องแล้วเอามาเป็นทำนอง คือการตัด เนื้อออกเหลือแต่ทำนอง ดนตรีที่ไม่มีประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญ ที่ยิ่งใหญ่ ดนตรีนั้นก็ไม่น่าเชิดชู นับถือ ? 

                หลังจากยุคของ Big  Band (เยอะ อุ้ยอ้าย เยอะ ชักช้า) คือ Be Bop เกิดออกมาจากวามเบื่อ ระเบียบเยอะเกิน และไม่ได้โชว์ ปัจจัยเรื่องของเงิน โดยเฉพาะในช่วงของสงครามโลกที่ เงินหายาก จึงมีนักดนตรีกลุ่มหนึ่งออกมาปฏิวัติ ในย่านนิวยอค ถนน 52nd Street พับ บาร์ แจ๊ส อยู่แถวนั้นเยอะ Broadway ตัดแบ่งถนนออกไปตั้งแต่หัวเกาะไป ท้ายเกาะ ถนน 52 มีชื่อเสียงมากในด้านดนตรี ดนตรี 50-58 ดนตรี เงื่อนไข ของมนุษย์ 1.คนชอบโชว์  2.คนเบื่อแบบแผน 3.หัวปฏิวัติ อยากได้อะไรแปลก เกิดอะไรที่เร็วขึ้นกว่าเดิม 4.ชอบ Coppy นิดหนึ่ง คือการ Coppy ทางเดิน Chord  แล้วมาแต่งทำนองเข้าไปใหม่ เช่น เพลง Indiana, I got rhythm, All the thing you are. ทำนองทีเร็วขึ้นเยอะกว่าเดิม คือ  ร้องไม่ทัน ฮ่าๆ

                Share Parker อิอิ แย่งงานคนอื่นมาคือเพลงของ Mind David เพลง Donna Houn  เพลงจะต้องประกอบด้วย ฉากหลัง และคนที่เล่นทำนองเร็วๆ สองคน เหมือนว่าจัดเตรียมกันมาก Horn เล่นทำนองที่ ยูนิซันเรียบร้อยแล้ว คล้ายดนตรีไทย ที่มีทางฆ้องแล้วเอาระนาดมาบรรเลง โครงสร้างของเพลงก็กลับมาง่ายๆของเดิม เน้นการโชว์โดยเฉพาะ  Trad Bar คือปรากฏบ่อย และยังมี In and Out เหมือนเดิม 

                ดนตรี แจ๊สปัจจุบัน ก็มีรากฐานมาจาก Bebop คือ Jazz คือ สิ่งเดียวกัน โดยไม่คิดถึงอดีตที่ยาวนาน และวิวัฒนาการของมัน มุมมองก็ถูกปรับเปลี่ยนออกไปจากเดิม มีความสำคัญคือการ Improvisation ที่พัฒนาขึ้นมาก เกิดการพัฒนา ในเรื่องของ Scale คือการใช้ เพือการเล่น และโน้ตโครมาติกให้ไปได้เสียงที่ต้องการ โน้ตที่เยอะขึ้น ประโยคที่สั้น ไม่ยาวเฟื้อยยยยยยยยยยยยย

                ผลลัพธ์ ของดนตรี Bebop เข้ามาใช้ในปัจจุบัน อะไร เรามอง จากมุมของใคร? อะไร? เช่นในนักประวัติศาสตร์ นักดนตรี ให้ผลที่ออกมาไม่เหมือนกัน ทางดนตรีก็ให้ภาษาทางดนตรี ที่แตกต่าง 1.Scale 2. Arpecio 3.Chromatic 4.Lick และแล้วก็เกิดความเบื่อ จึงเกิดยุค Post box เกิดความแบ่งแยกทั้งความเร็ว และความแรง ความยาก และกรอบของ Solo ที่จะเล่นได้อะไรบ้าง เกิดการเบื่อ

1.เร็ว  แก้โดย เล่นช้าๆๆๆ  2.แรง  แก้โดยเบา  3. Solo ที่มีกรอบ

                หลังจากนั้นก็เกิดดนตรีมั่วๆๆขึ้นมา เพราะเดิมมีกรอบที่ชัดเจน ช้าๆแรง เกิด Hard bopมันส์ แต่ไม่จำเป็นที่ต้องมีทำนองที่เร็ว  เบาๆๆความดังเบา ของดนตรี มากกว่า ฟังดูอาจมีเสียงสามเสียง ผสานกัน แต่เด่นที่ Dinamic ที่เล่นกัน(การสร้างเสียงประสานจำพวก Horn ทำนองที่แปลกๆ รุนแรงกว่าเน้นความคึกคัก จำนวนเครื่องเป่าน้อยกว่า ) ก็เกิด Cool jazz  มันคือกึ่งๆๆ ระหว่าง Big band(มาตราฐาน 17 คนเป็นอย่างต่ำ ไม่ค่อยมีเปียโน) ความโหดร้ายไม่มี และพวกที่เล่นโดยอิสระ Three jazz อิสระ 

                Post bop ที่ออกมามั่วๆๆ แต่เรียกว่า Free Jazz ไม่มีกรอบอยู่เลย Ornette Coleman เอามาแบบแปลกๆ ฟังไม่ค่อยไหว บางครั้งก็มี Structure เหมือนกัน  เกิดการนัวเนียพันธ์ุแท้  ต่อมาสิ่งที่เหลือมาก Chord ที่เปลี่ยนแปลง จากยุค Dixieland, Bid Band ก็พัฒนาเข้ามามาก แบบกึ่งแจ๊ส และคลาสสิค พัฒนามาเป็นการฟังมากยิ่งขึ้น เช่นยัย Maria Schneider มีการปรับเปลี่ยน เช่นการเอาแบบโรแมนต์ เข้ามายุ่งด้วย โดยเอาเสียงคนมาร้องเข้ากับวงใหญ่ การค่อยๆๆปรากฏ ของวงใหญ่ บิ๊กแบรนด์ มากยิ่งขึ้น นี่คือทิศทางของเพลงสมัยใหม่  Odd meter เกิดจังหวะที่แปลกๆ หนีจาก ¾ , 4/4  ที่แปลกๆๆไป คือจังหวะ 7 สลับกับ 6และในที่สุดก็มั่วอย่างงดงาม


โอ๊ะๆๆๆๆๆๆ ขอทูลลา
                              

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น