อยู่นี่แล้ว


วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

Beauty and the Beast -โฉมงามกับเจ้าชายอสูร - เอมิลี่ แปล


Tale As Old As Time 
True As It Can Be 
Barely Even Friends 
Than Somebody Bends 
Unexpectedly 

Just A Little Change 
Small To Say The Least 
Both A Little Scared 
Neither One Prepared 
Beauty And The Beast 

Ever Just The Same 
Ever A Surprise 
Ever As Before 
Ever Just As Sure 
As The Sun Will Arise 

Ever Just The Same 
Ever A Surprise 
Ever As Before 
Ever Just As Sure 
As The Sun Will Arise 

Tale As Old As Time 
Tune As Old As Song 
Bittersweet And Strange 
Finding You Can Change 
Learning You Were Wrong 

Certain As The Sun 
Rising In The East 
Tale As Old As Time 
Song As Old As Rhyme 
Beauty And The Beast 

Tale As Old As Time 
Song As Old As Rhyme 
Beauty And The Beast 

Beauty And The Beast


จากเรื่องเล่าครั้งเก่า เป็นเรื่องราวเราสอง
แรกไร้ซึ่งความเป็นมิตร ลองตรองจิตใฝปองด้วยใจ
เริ่มเติมเต็มทีละน้อย ท่ามกลางความหวั่นและสงสัย
อสูรร้าย สาวน้อยทรามวัย
สิ่่งละไม ละเมียด ประหลาดใจ
ก็คงเหมือนกับเมื่อครั้งก่อน
บางครั้งก็แน่นนอนจนไม่คาดฝัน
ดั่งดวงตะวันที่ยังรอเวลาที่จะทอแสง


จากตำนานครั้งเก่า เล่าร้อง ลำนำ ขับขาน
มีทั้งสุข เศร้า เคล้า ปาน
เรียนรู้ถักสานสิ่งที่ผิด และพลาดไป
เช้าวันใหม่ย่อมสดใส พาสองใจล่องลอย
คือเรื่องหนึ่งในนิทาน ผ่านโคลงกลอน


โฉมงามกับเจ้าชายอสูร...







วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

인연 (因緣,Fate) - Lee Sun Hee แปล พรหมลิขิต



Translations to Inyeon

Promise me that when this moment’s over and we meet again
That we can put everything in the past and stand by each other

This is what we call fate, it’s something we can’t deny
Will I ever experience another day as glorious as today?

You’re a gift upon this exhausting path of life
I’ll continuously wash and shine our love so it won’t rust away
Our meeting was short like a drunken affair, but it was real

Even though this cannot last, I won’t resent it because nothing is foever
This is what we call fate, it’s something we can’t deny
Will I ever experience another day as glorious as today?

There’s so much i want to say, but you probably already know
When we meet again some time in the future
Please don’t let go again
The love we couldn’t have in this life
The fate we couldn’t live in this life

When we meet again some time in the future
Please don’t let go of me




เอมิลี่ แปล 

สัญญากับฉัน เมื่อไหร่ที่ช่วงเวลานี้หมดสิ้นลง เราจะพบกันอีกครั้ง
เมื่อนั้น เราสามารถวางทุกสิ่งลงในอดีต และหยัดยืนซึ่งกันและกัน

นี่เรียกว่าโชคชะตา - บางสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธ
เฝ้ารอความสุขสกาวของชีวิตอย่างเคย หรืออย่างวันนี้
เธอเสมือนของขวัญ เมื่อยามที่ชีวิตหมดประดาสิ้น
ฉันจะหมั่นดูแลความรัก มิให้หม่นหมอง

ช่วงเวลาของเรามันช่างสั้น เหมือนฝัน แต่ก็เป็นความจริง
แม้จะไม่สามารถรั้ง ไม่มีสิทธิ์ขุ่นเคือง เพราะทุกอย่างล้วนไม่จีรัง
และนั่นก็คืออะไรที่เรียกว่าโชคชะตา ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธ
หรือเมื่อไหร่จะได้สัมผัสช่วงเวลานี้ หรืออาจเป็นตอนนี้

มีสารพันล้านถ้อยคำที่อยากบอก และเธออาจรู้
เมื่อไหร่นะ ที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง
จงโปรดอย่าหลบเร้นจากฉันไปอีก

"รัก" ที่เราไม่สามารถ จะบรรจบกันในชาตินี้
"พรหมลิขิต" ที่เราไม่มีสิทธิ์จับต้องในชีวิตนี้

เมื่อเราพบกันอีกครั้ง 
ได้โปรด อย่าไปได้ไหม?

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

การใช้ Verb เพ้อๆ

ความจริงมันยากมากเลยที่จะจดจำอะไรทั้งหมด แต่อย่างไรเมืองไทยก็ยังเลือกภาษานี้เป็นภาษาที่สอง เพราะอะไรไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าหากเราทราบและใช้เป็นมันก็คืออีกกุญแจหนึ่งในการวัดระดับความไฮโชของตัวเอง และการศึกษา ในสังคมออนไลน์ เอาไว้จับชาวต่างชาติที่มีการศึกษาหล่อๆ ได้อีก ---- พูดเล่น

Verb บางตัวแบบว่า แบบว่า พูดแต่ Verb ไม่เคลียร์ต้องมีตัวอธิบายมาขยายให้ทราบที่มาที่ไปว่าจะทำอะไร เพราะถ้าเพียงแต่พูด Verb ตัวนั้นตัวเดียว ก็เหมือนคุณจะเพ้อมากกว่า Verb พวกนัั้นจึงต้องหา Infinitive (กริยาที่นำหน้าว่า to) มาขยายเพื่อไม่ให้เกิดความมึนว่า ตกลงจะทำอะไรวะ  เช่น 

 S                  V                 Infinitive       
We      had planned          to leave        day before yesterday.    

พวกเราวางแผนว่าจะย้ายออกไปก่อนเมื่อวานนี้ ---    หากขาด Infinitive  จะแปลว่า พวกเราวางแผนก่อนเมื่อวานนี้  *** เห็นไหมว่าถ้าเราพูดโดยขาด Infinitive แล้วอาจโดนเพื่อนตบกะโหลกได้ เพราะตกลงเหมือนเมิงจะเพ้ออะไรอยู่มากกว่า

ว่ากันเลยคระ Verb เพ้อเจ้อ เพ้อลอย ที่ต้องการ Infinitive มาอธิบายที่มาที่ไปนั่นมีไม่มาก ได้แก่

agree  แปลว่า เห็นด้วย ต้องมี Infinitive มารับนะคะ เพราะฝรั่งเขาชอบฟังความมีเหตุผล ว่าเห็นด้วยที่จะอะไร เนื่องจากอะไร มิใช่อะไรก็ตามกรูเห็นด้วยหมด เผื่อซวยขึ้นมาไม่มีคนรับผิดชอบนะคะ 

decide  แปลว่า ตัดสินใจ เมื่อพูดคำนี้ขึ้นมาต้องพูดด้วยนะคะว่าตัดสินใจทำอะไร เพื่ออะไร มิใช่พูดลอยๆ ถ้าพูดแบบนี้เพื่อนโกรธตายเลย เพราะไม่รู้จะเอายังไงดีกับมัน มันตัดสินใจอะไรวะแม่งหงุดหงิดแต่ถ้ามี Infinitive  มารองรับก็จะได้ทราบไงคะว่าตัดสินใจอะไรไปบ้าง ไม่ใช่เพ้อ ตัดๆ อยู่นั่นแหละ

expect แปลว่า คาดหวัง เมื่อไหร่ก็ตามที่พูดคำนี้ต้องรับผิดชอบด้วยนะคะว่าคาดหวังอะไร มีใช่พูดออกมาลอยๆ เพราะอย่างไรฝรั่งก็อยากรับรู้ความคิดเห็นว่าคิดอะไร คาดหวังอะไร ทุกอย่างมันต้องมีเหตุผล ที่มาที่ไป พูดออกมาลอย เผลอๆ คนอาจคิดว่าเราเพี้ยนไปแล้วซะแน่เลย

fail แปลว่า ลมเหลว น่าสงสารมากที่ทุกคนล้วนประสบความล้มเหลว แต่คิดสิว่าทำไมฝรั่งถึงสู้ได้ เรียนรู้ได้เร็ว ก็เพราะว่าเขารู้ไงคะว่าล้มเหลวอะไร ที่จะทำอะไร และไปไหน - ตรงกับข้ามกับบ้านเราที่ไม่ยอมรับคำนี้ แค่พูดก็ยังไม่กล้าเลยชอบเพ้อ ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล ความล้มเหลวคือบันไดแห่งความสำเร็จคะ เพราะฉะนั้น fail จึงต้องมี Infinitive มารองรับเพื่อที่จะก้าวไปต่อไปไงคะ 

hope แปลว่า หวัง ความหวังนั้นหากไม่ทราบว่าหวังอะไรก็คงไม่สมหวังหรอกนะคะ ไม่ใช่แค่หวังอย่างเดียวเป็นอาหวัง (ชื่อคนจีน) ต้องวาดความหวังสิคะว่าเป็นอะไร หวังว่าจะไปไหน ไปยังไงจึงจะสมสำเร็จไงคะ เพราะฉะนั้นจึงต้องมี Infinitive มารองรับไงคะ ว่าจะไปสู้ความหวังนั้นอย่างไร - เห็นไหมว่าภาษาเรามีกลวิธีเพื่อให้คนเรารู้ตัว รู้ใจ ตัวเอง 

intent แปลว่า เจตนา, ตั้งใจ ก็คลายกับความหวังนั่นแหละคะ ว่าเจตนาจะทำอะไร ตั้งใจว่าจะทำอะไรหากมีเจตนา ความตั้งใจที่จะทำอะไรที่แย่วแน่แล้วก็ต้องทราบจุดหมายใช่ไหมคะ ไม่งั้นมันก็แค่เลื่อนลอย คำคำนี้จึงต้องมี Infinitive มารองรับความตั้งใจว่าจะทำอะไร

learn แปลว่า เรียน ตามความเข้าใจของดิฉันเองนะคะ มันจะเรียนไปทำไม อะไรกันนักกันหนา แม่เดี๊ยนเคยบ่นอะคะ นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งของนักศึกษาไทย ว่าจะเรียนไปทำไม แต่ชาวต่างชาติเขารู้ไงคะ ว่าเรียนไปเพื่อ หรือไม่เรียนดีกว่า มันมีที่มาที่ไป และเหตุผลของคำในตัวมัน เพราะการเรียนนี่สำคัญจึงต้องทราบด้วยว่าเรียนไปทำไม  *-*  หากไม่เข้าใจอย่าเอาความหมายของไทยมาใส่ เพื้่อเรียนไปก็เรียนไปทำไมไม่รู้ เลยเป็นปัญหาระดับชาติมาทุกวันนี้ไงละคะ

plan แปลว่า วางแผน คำนี้สำคัญมาก เพราะการวางแผนนั้นต้องบอกว่าด้วยวางแผนอะไร เมื่อเอ่ยคำนี้มาแล้วต้องรับผิดชอบด้วยว่าวางแผ่นไว้เพื่อ มิใช่วางแผนเฉยๆ หลอกลวง คอรัปชั่น มิฉะนั้นจะอยู่ในอาการเพ้อได้

promise แปลว่า สัญญา, รับปาก ภาษานี่เขาน่ารักมากจะรับปากอะไรใครก็ต้องบอกด้วยว่ารับปากที่จะทำอะไร รับปากอะไร มิใช่สัญญาลมๆ แล้งๆ อีพวกพูดแต่คำว่า promise โดดๆ นี้แหละมีนตอแหล และเป็นเอามา เพราะฉะนั้นเทพปะกิตไวยกรณ์ จึงได้เขียนกฏไว้ว่าสัญญานี่อะ สัญญาอะไร  ด้วยเพื่อเพิ่มความหนักแน่นของผู้พูด จึงต้องมี Infinitive มารองรับ หากลองพูดแต่  promise   promise   promise   promise   promise  กับแฟนห้วนๆ ดูสิ มีหวังโดนตบเลย  ฮาฮาฮา

refuse แปลว่า ไม่ยอม คำนี้ต้องบอกด้วยนะคะ ว่าไม่ยอมเพราะอะไร หากว่าลอยๆ คนเขาคงคิดว่าคุณเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองแน่เลย เพราะเอะ อะ อะไรก็มิยอม มิยอม มิยอม พูดบ่อยๆ refuse refuse  refuse  refuse อาจโดนถีบนะคะ เพราะมันดูกระแดะ ไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้นคำนี้ต้องมี  Infinitive มารองรับด้วยนะฮ่า

want แปลว่า ต้องการ ต้องการอะไรยะ? คำนี้แปลตรงตัวกับภาษาไทยเลย เมื่อเอ่ยคำว่าต้องการ ต้องบอกด้วยว่าต้องการอะไร มิใช่พูดเพ้อๆ ว่าฉันต้องการ ต้องการ ต้องก๊านนนนน - ถ้าเอ่ยแค่นี้ก็พิจารณาเองนะคะ ว่าคุณจะให้อะไรหล่อนดี บางทีหล่อนอาจต้องการซ่งติง ก็เป็นไปได้ ฮาฮา เพราะฉะนั้นรับตัดบทอย่าเพ้อคำนี้โดยขาด Infinitive เด็ดขาด มิอย่างนั้นจะเจอซ่งติง ฮิ๊ววว


ดิฉันขอจบ Verb เพ้อๆ ไว้แค่นี้คะ ใครก๊อปปี้ไปอย่าอาว่ามาเพ้อ ขอสาปให้เป็นปลาทูเลย

ฟังเจ้นี่อธิบาย นะคะ เพิ่มเติมเอาง่ายดีคะ 

Verb to be - Verb to have - Verb to do ฮิ๊วสำหรับคนตกอังกฤษ ฮาฮา

Verb to be - Verb to have - Verb to do ทำหน้าที่เป็นกริยาหลักเมื่อไม่มีกริยาตัวอื่นตามมา แต่ถ้าเกิดมี Verb โผล่มา Verb to be - Verb to have - Verb to do  ก็เป็นได้แค่กริยาช่วยเท่านั้น เพราะไม่แรงส์พอ 

กลุ่มที่สองคือกริยาแสดงการรับรู้ หู ตา คอ จมูก กลิ่น ผิว เช่น come, go, sleep, sit, eat, drink, think, play, love, help, cut เป็นตค้น กลุ่มนี้คิดว่าตัวเองเก่งสำคัญ เพราะเกิดจากประสบกสรณ์ตรง เหมือนกรูไปเจอผีมา กรูกินพริกทั้งเม็ด หรือง่วงนอนแทบตาย ว่ากันว่าคือกริยาฉุกเฉิน ถ้าเกิดแฟนคุณเอ่ยคำพวกนี้มาแล้วคุณยังไม่สนใจ  อาจเจองอลได้ง่ายๆ    ----- จังเรียกว่ากริยาเอาแต่ใจ ควรสนใจกรู  ถ้าเจอกริยาพวกนี้ในประโยค มันจึงเป็นใหญ่และสำคัญเสมอ มันจึงเป็นกริยาหลักของประโยค 

อีกกลุ่มเป็นพวกประหลาด เรียกว่ากริยาแอ๊บแบ๊ว ได้แก่ shall, should, will, would, can, could, may, might, must, ought to ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยเท่านั้น ไม่ขอแสดงตัว แต่แอบแอ๊บแบ๊วเพื่อสร้างความน่ารักน่าชังให้ประโยค และผู้พูด แต่ก็ชอบเสนอหน้าอยากอยู๋หน้าประโยคแบบเขิลๆ แต่ก็แอบกดดันกริยาที่ตามมานั้นจะต้องเป็น V1 เท่านั้น จะแต่งองค์ทรงเครื่องสวยกว่าฉันมิได้ ชิมิชิมิ 

*กริยาคำว่า Must - ต้อง - เวลาเปลี่ยนเป็นรูปอดีตต้องเปลี่ยนตัวเองเป็น Verb to have คือ Had  



ส่วนเรื่องของ Have has had - เจ้คนนี้ก็อธิบายได้อยู่ ครูคนไทยส่วนมากสอนเวียนหัวเค๊าะ