อยู่นี่แล้ว


วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คนรวย รวยที่อะไร? บิลเกตส์


บิลเกตส์ มหาเศรษฐี อันดับสองของโลก ในปี ๒๕๕๔ เขาทานอาหารฟาสต์ฟูด ง่ายๆ ราคาถูกๆ เป็นประจำ เมื่อมีเวลาว่างก็ออกกำลังกาย เขาชอบไปเล่นกอล์ฟกับเพื่อนๆ โดยพนันกันหลุมละ ๑ เหรียญ เสื้อผ้าที่ใส่เป็นประจำก็เป็นเสื้อผ้าราคาถูกๆ เขามีเงินมากกว่า ๕๐,๐๐๐ ล้่านเหรียญ แต่เขาบอกว่าจะให้ลูกสามคน คนละ ๑๐ ล้านเหรียญ และให้ตัวเอง ๑๐ ล้านเหรียญ ที่เหลือก็ยกให้มูลนิธิที่ช่วยเหลือสังคม เขาให้เหตุผลว่าเงิน ๑๐ ล้านเหรียญนั้นเพียงพอที่ดำรงชีวิตอยู่เหลือเฟือเมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว แต่หากลูกๆของเขาไม่สามารถหาเงินเพิ่มได้อีก เขาเหล่านั้นก็คงจะรักษาเงินที่มากกว่านี้ไม่ได้


เอเอฟพี - บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และอภิมหาเศรษฐีผู้ใจบุญเผยวานนี้ (9) ว่า เขาอยากเพ่งความสนใจไปกับงานเพื่อการกุศล มากกว่าที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี      
       “ผมไม่เคยอยากจะเลือกลงเล่นการเมือง” เกตส์กล่าวในที่ประชุมสุดยอดด้านสื่อประจำปี ในกรุงอาบูดาบี เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ ระบุว่า ด้วยการดำเนินงานของมูลนิธิ บิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ เขาไม่จำเป็นต้องระดมเงินทุนทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง และไม่ถูกจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งอยู่แค่ 8 ปี แต่เขาอาจจะให้คำแนะนำแก่ประธานาธิบดีเหมือนกับที่ให้แก่บริษัทไมโครซอฟท์
     
       เขายังกล่าวในสุนทรพจน์เปิดงานประชุมสื่อดังกล่าวว่าขณะนี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหาทางยับยั้งโรคโปลิโอ เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของทางมูลนิธิ เกตส์เผยว่า มูลนิธิซึ่งเขาเป็นประธานร่วมนั้น จะใช้เงิน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการวิจัย และพัฒนา รวมถึงส่งวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอให้แก่เด็กๆ ผู้ยากไร้ทั่วโลก โดยอ่าวเปอร์เซียอาจเป็นภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับความยากจน และโรคต่างๆ ได้
     
       ในวันจันทร์ (8) ที่ผ่านมามูลนิธิของเขาประกาศร่วมหุ้นส่วนใหม่กับธนาคารเพื่อการพัฒนาอิสลาม ในการสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคการเกษตร ตลอดจนการร่วมกันต่อสู้กับโรคมาลาเรีย และโปลิโอ ทั้งนี้ มูลนิธิบิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ให้เงินสนับสนุนโครงการด้านสาธารณสุข และการต่อต้านความอดอยากในหลายประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงการสนับสนุนโครงการวิจัย และทำวัคซีนโรคมาลาเรีย
     
       ยิ่งไปกว่านั้น เกตส์ยังบริจาคเงินมากกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์ให้แก่องค์กรเกี่ยวกับโรคเอดส์ทั่วโลกผ่านมูลนิธิของเขา ซึ่งตั้งขึ้นด้วยทรัพย์สินของบริษัทไมโครซอฟท์ สำหรับการประชุมซัมมิตสื่ออาบูดาบี ปี 2012 ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วันนั้น เป็นการรวมตัวของผู้นำด้านอุตสาหกรรมสื่อทั่วโลกมากกว่า 400 คน


"ในการทำอะไรก็ตาม ผมยึดหลักวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นทำไมและอย่างไร ผมไม่ทราบว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ แต่ก็คิดว่าหลักการทางศาสนานั้นยังเป็นจริงอยู่มาก"
บิลล์ เกตส์  ให้สัมภาษณ์ทาง PBS กับ เดวิด ฟรอสต์ ในเดือนพฤศจิกายน

"ในการสร้างมาตรฐานใหม่ ต้องใช้กึ๋นยิ่งกว่าการสร้างอะไรที่แตกต่างจากเดิมเพียงเล็กน้อย ต้องเป็นอะไรที่แปลกใหม่และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนไว้ได้ และในบรรดาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมเคยเห็นมาทั้งหมด แมคอินทอชเป็นเครื่องรุ่นเดียวที่เข้าข่าย"
บิลล์ เกตส์ ในช่วงที่บิลล์ เกตส์ยังเขียนซอฟท์แวร์ให้แอปเปิล คอมพิวเตอร์


"ความสำเร็จคืออาจารย์ที่งี่เง่าที่ยั่วคนให้คนฉลาดคิดว่าห้ามผิดพลาด"
บิลล์ เกตส์



...คงไม่มีใครไม่รู้จักสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอของบริษัทแอปเปิล และก็คงไม่มีใครไม่รู้จักบิล เกตส์ อดีตซีอีโอของบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งสองคนเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในวงการคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและคู่แข่งทางการค้าซึ่งกันและกัน แต่ช่วงนี้เรา ๆ ท่าน ๆ อาจจะได้ยินข่าวของ สตีฟ จ็อบส์  และ แอปเปิลบ่อยครั้งขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่สตีฟ จ็อบส์ เสียชีวิตลงและกลายเป็นตำนาน พร้อม ๆ กับที่แอปเปิลเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ทยอยเปิดตัวอย่าง สม่ำเสมอ ในขณะที่บิล เกตส์ ซึ่งลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของไมโครซอฟท์ไปตั้งแต่ปี 2551 กลับไม่ค่อยเป็นข่าว หรือมีเหตุการณ์ให้เรานึกถึงอยู่เท่าไร
แต่เชื่อหรือไม่ ณ วันนี้ มีคนผู้หนึ่งพูดอย่างมั่นใจว่า อีก 50 ปีข้างหน้า ผู้คนจะจดจำบิล เกตส์ ในขณะที่สตีฟ จ็อบส์ จะถูกลืมเลือนหลายคนคงคิดว่าเป็นการยากที่จะเชื่อ

คนที่พูดดังกล่าวคือ มัลคอล์ม เกลดเวลล์ นักเขียนจากวารสาร เดอะ นิว ยอร์กเกอร์ (The New Yorker) และผู้แต่งหนังสือระดับ Best Sellers หลายเล่ม เช่น The Tipping Point (ฉบับแปลไทยชื่อ จุดชนวนคิด พลิกสถานการณ์) และ Outliers (ฉบับแปลไทยชื่อ สัมฤทธิ์พิศวง) เกลดเวลล์แสดงความเห็นของเขาออกมาในงาน Appel Salon ณ ห้องสมุด Toronto Public Library ประมาณปลายเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่คนในวงการไอทีถกเถียงกันมากมาย เกลดเวลล์กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้เขาเชื่อว่าผู้คนจะจดจำบิล เกตส์ได้จากงานการกุศลของเขา เขายังพูดด้วยว่าผู้คนก็จะลืมเลือนไปด้วยว่าไมโครซอฟท์คืออะไร ผู้คนจะลืมสตีฟ จ็อบส์แต่จะมีอนุสาวรีย์ของเบิล เกตส์ตามประเทศโลกที่สามเต็มไปหมด

ก่อนอื่นเราต้องมาดูกันว่างานการกุศลของบิล เกตส์คืออะไร และมีความแตกต่างจากงานการกุศลอื่น ๆ อย่างไร บิล เกตส์ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอเพื่ออุทิศเวลาของตัวเองให้กับมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ซึ่งเป็นมูลนิธิที่บิล เกตส์และภรรยาตั้งขึ้น โดยเกตส์และภรรยาได้บริจาคเงินเกือบเก้าแสนล้านบาท (ถ้านึกไม่ออกว่าเยอะขนาดไหนก็ขอให้ลองนึกว่าสหประชาชาติมีงบประมาณซึ่งได้รับจากเงินบริจาคจากประเทศสมาชิกทั่วโลกปีละแสนสามหมื่นล้านบาท แปลว่าเงินที่บิล เกตส์บริจาคนั้นเท่ากับที่แต่ละประเทศทั่วโลกจ่ายกันประมาณ 7 ปี) และสิ่งที่แตกต่างคือบิล เกตส์ได้ใช้ความเป็นนักธุรกิจตัวยงของเขาในการบริหารมูลนิธิ บิล เกตส์ใช้หลักการของการลงทุนเพื่อที่จะให้เงินที่ใช้ไปนั้นให้ผลลัพธ์ได้ดีที่สุด ซึ่งก็คือเกิดผลกระทบต่อผู้คนมากที่สุด มูลนิธิมีโครงการช่วยเหลือที่เน้นไปในปัญหายาก ๆ ทางด้านสุขภาพ ความยากจน และการศึกษา

ถึงแม้จำนวนเงินและวิธีการที่บิล เกตส์บริหารเงินการกุศลจะน่าสนใจ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือบิล เกตส์ได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งในการชักชวนให้คนอื่น ๆ โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีร่วมบริจาคเงินเพื่อการกุศลเช่นกัน โดยไม่จำเป็นว่าต้องบริจาคให้มูลนิธิของเขา ในบรรดาคนที่บิล เกตส์ร่วมชักชวนให้บริจาคนั้นมีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าพ่อตลาดหุ้นซึ่งถูกจัดว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอีกคนหนึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ตกลงที่จะบริจาคเงินให้กับมูลนิธิของบิล เกตส์โดยมีเงื่อนไขคือมูลนิธิจะต้องใช้เงินเท่า ๆ กับเงินที่เขาบริจาคไปในแต่ละปี ซึ่งมีผลเท่ากับทำให้งบประมาณในแต่ละปีของมูลนิธินั้นเพิ่มเป็นสองเท่านั่นเอง

 บิล เกตส์และภรรยาได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือชื่อ The Power of Half ซึ่งเล่าเรื่องราวของครอบครัว Salven ที่ขายบ้านของเขาทิ้งและนำเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายบ้านมาบริจาคให้กับการกุศล

 บิล เกตส์ได้ร่วมก่อตั้งโครงการ The Giving Pledge โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เศรษฐีต่าง ๆ ให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริจาคเงินอย่างน้อย “ครึ่งหนึ่ง” ของเงินที่มีอยู่กับโครงการการกุศล

โครงการนี้มีผู้สนใจเป็นอย่างมาก และมีผู้ร่วมโครงการให้คำสัญญาว่าจะบริจาคเงินรวมกันแล้วเกือบสี่ล้านล้านบาท ผู้ร่วมโครงการที่สำคัญที่เรารู้จักกันดีได้แก่ตัวบิล เกตส์เอง วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊กก็จะเห็นได้ว่าสิ่งที่บิล เกตส์ทำนั้นมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อคนทั่วโลก สิ่งที่เกลดเวลล์พยายามชี้ให้เห็นคือ ถึงแม้ว่า ณ วันนี้ผู้คนจะจดจำสตีฟ จ็อบส์ในฐานะนักคิด นักธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ในระยะยาวแล้วสิ่งที่คนจะจดจำก็คือผลกระทบที่คนผู้นั้นจะมีต่อโลกนั่นเอง และในแง่ดังกล่าว เกลดเวลล์เชื่อว่าคนจะจดจำบิล เกตส์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้เขียน : นัทที นิภานันท์ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

LANA DEL REY - '"NATIONAL ANTHEM" เพลงชาติ....



Money is the anthem

Of success
So before we go out
What's your address?



I'm your national anthem
God, you're so handsome
Take me to the Hamptons
Bugatti Veyron



He loves to romance 'em,
Reckless abandon,
Holdin' me for ransom,
Upper echelon.



He says to "be cool" but,
I don't know how yet.
Wind in my hair,
Hand on the back of my neck.
I said, "Can we party later on?"
He said, "Yes, yes." (Yes.)



Tell me I'm your National Anthem.
(Ooh, yeah, baby, bow down,)
(Making me so wow, wow.)
Tell me I'm your National Anthem.
(Sugar, sugar, how now,)
(Take your body down town.)
Red, white, blue's in the skies,
Summer's in the air and baby,
Heaven's in your eyes.
I'm your National Anthem.



Money is the reason,
We exist.
Everybody knows it,
It's a fact. Kiss, kiss.



I sing the National Anthem,
While I'm standing,
Over your body,
Hold you like a python.



And you can't keep your hands off.
Me, or your pants on.
See what you've done to me?
Give me Chevron.



You said to "be cool" but,
I'm already coolest.
I said to "get real",
Don't you know who you're dealing with?



Um, do you think you'll buy me,
Lots of diamonds? (Yes, I also brought my gun)



Tell me I'm your National Anthem.
(Ooh, yeah, baby, bow down,)
(Making me so wow, wow.)
Tell me I'm your National Anthem.
(Sugar, sugar, how now,)
(Take your body down town.)
Red, white, blue's in the skies,
Summer's in the air and baby,
Heaven's in your eyes.
I'm your National Anthem.



It's a love story for the new age,
For the six page,
Want a quick, sick rampage?



Wining and dining, drinking and driving,
Excessive buying, overdosin', dyin',
On our drugs and our love,
And our dreams and our rage.



Blurring the lines,
Between real and the fake.
Dark and lonely,
I need somebody to hold me.



We will do very well,
I can tell, I can tell,
Keep my safe in his bell,
Tower, hotel.



Money is the anthem,
Of success.
So put on mascara,
And your party dress.



I'm your National Anthem,
Boy, put your hands up,
Give me a standing ovation.



Boy, you have landed,
Babe, in the land of,
Sweetness and danger,
Queen of Saigon.



Tell me I'm your National Anthem.
(Ooh, yeah, baby, bow down,)
(Making me so wow, wow.)
Tell me I'm your National Anthem.
(Sugar, sugar, how now,)
(Take your body down town.)
Red, white, blue's in the skies,
Summer's in the air and baby,
Heaven's in your eyes.
I'm your National Anthem.



Money is the anthem,
God, you're so handsome.
Money is the anthem,
Of success



Money is the anthem,
God, you're so handsome.
Money is the anthem,
Of success



Money is the anthem,
God, you're so handsome.
Money is the anthem,
Of success



Money is the anthem,
God, you're so handsome.
Money is the anthem,
Of success

เงิน เงิน เงิน คือ สรณะของความสำเร็จ
ทุกครั้งที่ออกโรง
ใครชี้ นั่นแหละคุณเป็นใคร?

ฉันนะเหรอคือสรณะของคุณ
โอพระเจ้า คุณดูหล่อเยี่ยวราด
และพาฉันไป Hamptons
Veyron Bugatti  

เขาว่าจะพาฉันไปเอา
ชำเรา หมองเมิน
ประคองฉันไว้ด้วยสินไหม
เทิดทูนบูชาประดับประดา 

เยี่ยมยอดเขาบอก
เดี๊ยนไม่ทราบ ยังไงมัน
ลมสรวมผ่านพัดหู
มือป้องปัดประคองคอ
ฉันกล่าว ไว้เอาทีหลังได้ไหม
ใช่ ใช่ ใช่ และก็ใช่ เขากล่าว

บอกฉันสิ ว่าชาตินี้เกิดมาเพื่ออะไร 
(โอวเยส ที่รักก้มลงอีก)
(ทำฉันรู้สึก ว้าว ว้าว มั๊กๆ)
ว่าชาตินี้เกิดมาเพื่ออะไร 
(ที่รัก ที่รัก ทำยังไงต่อ)
(ออกไปโชว์โฉมธารณะ)

สายสีแดง ขาว ฟ้า บนท้องฟ้า
บรรยากาศของลมฤดูร้อน และที่รัก
สวรรค์อยู่นัยตาคุณ...ที่รัก
ฉันจะซื่อสัตย์ จงรัก ภักดี ต่อคุณ 

เงิน เท่านั้น ที่ยังทำให้เรายังอยู่
ทุกคนทราบ 
มันคือความจริง Kiss Kiss

ฉันร้องเพลงชาติ ขณะยังยืนอยู่ 
เหนือทับร่างกายคุณ
จับเจ้างูเหลือม
คุณไม่สามารถห้ามปรามฉัน
ให้เปิดกางเกงของคุณ
ดูสิ  ในสิ่งที่คุณกระทำกับฉัน
ให้ Chevron กับฉันสิ

มันยอดมาก คุณกล่าว แต่
ฉันล้ำกว่า -- จริงหรือ
นี่ไม่รู้หรือว่ากำลังพูดกับใคร?

อืม คิดหรือว่าซื้อฉันกับจำนวนเพ็ชรมหาค่า
ใช่  ฉันก็ซื้อปืนมาเหมือนกัน

บอกฉันสิ ว่าชาตินี้เกิดมาเพื่ออะไร 
(โอวเยส ที่รักก้มลงอีก)
(ทำฉันรู้สึก ว้าว ว้าว มั๊กๆ)
ว่าชาตินี้เกิดมาเพื่ออะไร 
(ที่รัก ที่รัก ทำยังไงต่อ)
(ออกไปโชว์ตัวสิ)

มันคือบทรักในสังคมสมัยใหม่
สำหรับ 6 หน้า..........
เร็วๆ ป่วงวายป่วย
ชนะ - แดก   - ดื่ม - บงการ
แดกมากเกิน วัตถุนิยม เกินพอดี 
เอาเท่าที่เอาได้
เพื่อเสพสุขของเรา ในรักเรา
และความฝันในความเคือง

ลบเลือนความหมาย
ของความจริงและความตอแหล
ความมืดมิด และโดดเดี่ยว
ฉันต้องการแค่ใครสักคนที่มาโอบกอด

เราทำได้ดีมากที่รัก 
ฉันบอกได้ ฉันกล่าวได้
ดูแลฉัน ปกป้องฉัน (ราวระฆังของเขา)
หอคอย และ โรงแรม 

เงินคือเพลงชาติของความสำเร็จ
ฉันปัดมาสคาร่า สวมใส่ชุดสวย

ฉันคือเพลงชาติของคุณ
Boy, ยกมือขึ้น
ฉันฉันปรบมือชมเชย
Boy,  คุณมีที่ดิน
ที่รักในพื้นที่ของความหวานและอันตราย
ราชินีไช่ง่อน 

บอกฉันสิ ว่าชาตินี้เกิดมาเพื่ออะไร 
(โอวเยส ที่รักก้มลงอีก)
(ทำฉันรู้สึก ว้าว ว้าว มั๊กๆ)
ว่าชาตินี้เกิดมาเพื่ออะไร 
(ที่รัก ที่รัก ทำยังไงต่อ)
(ออกไปโชว์โฉมธารณะ)

เงินคือสรณะ 
โอพระเจ้าคุณหล่อเยี่ยวราด 
เงินคือเพลงชาคิ --ของความสำเร็จ 


















วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Fragments of Hearts (心のかけら) เศษหนึ่งของดวงใจ


Kokoro no Kakera
 Fragments of the Heart
歌:麻衣
作曲:久石譲
作詞:鈴木麻美子

白い羊雲 追いかけて走った
いつかあの空に 届きそうな気がして

shiroi hitsujigumo oikakete hashiita
itsuka ano sora ni todokisou na ki ga shite

I ran after those clouds like white sheep

For I felt that one day I might reach the sky

涙のしずくは
希望の糧と
教えてくれたよ

namida no shizuku wa
kibou no kate to
oshiete kureta yo

It was you who taught me

That teardrops can

Give life to hope
会いたい もう一度 強く抱き締めて
心のかけらを 見つける旅にでよう
悲しみの向こう岸の 新しい世界へ

aitai mou ichido tsuyoku dakishimete
kokoro no kakera wo mitsukeru tabi ni deyou
kanashimi no mukougishi no atarashii sekai e

I want to see you – Embrace me once again

Let’s go on a journey to find the fragments of our hearts

To a new world waiting on that shore far from sadness
遥か昔から つながれた絆に
命選ばれて 生まれるという奇跡

haruka mukashi kara tsunagareta kizuna ni
inochi erabarete umareru to iu kiseki

Long long ago, the bonds of two people

Chose for me life, in that miracle called birth

絶望の涙
救う光を
あなたが 照らした

zetsubou no namida
sukuu hikari wo
anata ga terashita

On my despairing tears

You shined for me

A light of salvation
まぶた閉じれば 浮かぶあの笑顔
一人でも平気さ あなたにここにいるから
未来へと続く道を 僕は今 進むよ

mabuta tojireba ukabu ano egao
hitori demo heiki sa anata ni koko ni iru kara
mirai e to tsudzuku michi wo boku wa ima susumu yo

When I close my eyes I see your smile

I’ll be alright on my own, because really, you’re right here

So I’ll keep walking along this road, into the future
会いたい もう一度 強く抱き締めて
心のかけらを 見つける旅にでよう
あの光に包まれた 新しい世界へ

aitai mou ichido tsuyoku dakishimete
kokoro no kakera wo mitsukeru tabi ni deyou
ano hikari ni tsutsumareta atarashii sekai e

I want to see you – Embrace me once again

Let’s go on a journey to find the fragments of our hearts

To a new world wrapped in the light you once showed me

..........................................................................



ฉันวิ่งแข่งเมฆหมอกเจ้าแกะปุยขาว
เพื่อสักวันจะวิ่งสกาวไกลถึงฟ้า
ก็คือเธอที่สอนแล้วสั่งลา
ทิ้งน้ำตาคราบความหวังไว้ในใจ 

อยากพบเธอแล้วสวมกอดแน่นอีกครั้ง
ตามเศษยังดวงใจที่ขาดหาย
ร่วมเส้นทางลืมโศกลาทิ้งไว้
สู่โลกใหม่ห่างเศร้าสุขร่วมทาง

นานนานแล้วสู่พรหมลิขิตฟ้า
ชีวิตพาอุบัตินั่นหวังหมาย
หยาดน้ำตาบัดนี้นั้นมลาย
แสงความหวังแห่งความหมายฉันคือเธอ

ยามหลับตาใยเห็นเธอนั้นโปรยยิ้ม
แท้เธอริมร่วมทางสู่จุดหมาย
อีกไม่นานเส้นทางนี้ก็จะคลาย
สู่วันใหม่ในวันหน้าฉันมีเธอ 

อยากแท้หนอได้สวมกอดเธออีกครั้ง
ได้ร่วมทางเดินฝ่าถึงฝั่งฝัน
สู่โลกใหม่จุดไฟให้เห็นทาง
จับมือฉันร่วมสร้างทางของเรา







The Impossible Dream-Man of La Mancha - สู่ฝันอันยิ่งใหญ่



To dream the impossible dream
To fight the unbeatable foe
To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go
To right the unrightable wrong
To love pure and chaste from afar
To try when your arms are too weary
To reach the unreachable star

This is my quest
To follow that star
No matter how hopeless
No matter how far

To fight for the right
Without question or pause
To be willing to march into Hell
For a heavenly cause

And I know if I'll only be true 
To this glorious quest
That my heart will lie peaceful and calm
When I'm laid to my rest

And the world will be better for this
That one man, scorned and covered with scars
Still strove with his last ounce of courage
To reach the unreachable star


สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ 
Don Quixote:Man of La Mancha
เดล วาสเซอร์แมน เขียน
มัทนี เกษกมล แปล
 
ไม่ว่าสภาพความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร
ก็ไม่อาจมาขวางกั้นขอบเขตแห่งจิตนาการ
แม้ในยามอับจนสิ้นไร้
ความฝันใฝ่ก็ยังปราศจากเขตแดน
ณ คุกใต้ดินแห่งหนึ่งในนครเซวิลล์
ประเทศสเปน มิเกล เด เซรบานเตส นักประพันธ์เอกของโลก
ถูกศาลศาสนาจับกุมมาคุมขังรวมกับนักโทษอื่นๆ
ซึ่งมีทั้งหัวขโมย ฆาตกร แมงดาและโสเณี
บรรดานักโทษเหล่านี้ ล้วนอยู่กันอย่างซังกะตาย
ทุกคนต่างหมดสิ้นความหวังในชีวิต
และภายในคุกนี้ เซรบานเตสก็ยังถูกนักโทษด้วยกัน
กล่าวหาว่าเป็นนักอุดมคติ กวีชั้นเลวและคนซื่อ
ซึ่งเขาก็ยอมรับในข้อกล่าวหา
แต่เซรบานเตสก็ยังขอโอกาสต่อสู้คดี เพื่อ
แก้ข้อกล่าวหา ด้วยการนำเสนอละคร
อันเป็นเรื่องราวของ ดอน กีโฮเต้ อัศวิน
แห่งลามันช่า ผู้พร้อมที่จะต่อสู้กับเหล่าอธรรม
และใฝ่ฝันถึงแต่สิ่งที่ดีงาม แล้วเขาก็ได้จุดไฟฝัน
ให้สว่างขึ้นมาในหัวใจของปรรดาผู้สิ้นไร้
ซึ่งครั้งหนึ่งต้องดำรงอยู่อย่างยอมรับสภาพความจริง
ของชีวิตอันยากแค้นขมขื่น

สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ 
คำร้อง ชาลี อินทรวิจิตร / ทำนอง The impossible dream

สุดมือ เอื้อมคว้าข้าจะฝัน 
กล้าหาญ ราญรบอริร้าย 
ชีวิต จะปลิดปลดมิลดละง่าย 
จะไป ถิ่นอันคนกล้ายังถอย 
อะไร ชั่วแท้จะแก้ไข 
อันไหน ถ้าใจรักสลักร้อย 
แรงน้อย เหนื่อยอ่อนสู้มิรู้ถอยดั่ง 
ใจหวัง จะลอยลิบหยิบดาว 
จะไกลแค่ไหน ไม่เคยสิ้นหวัง 
จะไม่มีหยุดยั้ง พลังฝันอันเร่งเร้า 
ไม่ลังเลและขลาดเขลา สู่เป้าหมายอันใฝ่หา 
อาจจะล้มเซถลามากี่ครั้งก็ยังรักยุติธรรม... 
สิ่งดีงามจะค้ำจุนโลกไว้ ตายแล้วยังนอนตาหลับ 
โลกจะดีกว่านี้ควรต้อนรับ ประทับใจทุกคนได้.. 
ผู้ทนง เท่านั้นจึงจะมี บาดแผลนี้ ถี่เป็นแถวแนวเลือดไหล 
ความหวังที่ตั้งมั่นคือความฝันใฝ่ โลกจะสวย..ด้วยความฝันบินสู่..ฟ้า




The Impossible Dream ซึ่งเป็นเพลงละครบรอดเวย์ มาจากเรื่อง Man of La Mancha แสดงระหว่างปี 2508-2514 บทละครเขียนโดย Dale Wasserman ทำนองเพลงโดย Mitch Leigh และคำร้องโดย Joe Darion ต่อมาได้รับการสร้างเป็นหนังในปี 2515 เป็นเรื่องราวของดอน กิโฮเต้ (Don Quixote)
ดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน 

โดย มิเกล เด เชรมันเดส ซาเบดร้า
แปลโดย สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์



ปกหลังหนังสือแปลจากสเปนเล่มนี้ กล่าวไว้ว่า

ในชั่วชีวิตหนึ่ง หากแม้นสวรรค์ทรงอนุญาตให้อ่านหนังสือได้เพียงเล่มเดียว จงเลือกเล่มนี้เถิด ชีวิตจักไม่ตายเปล่าแน่แท้


ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน (สเปน: El ingenioso hidalgo don Quijote de la Mancha) เป็นวรรณกรรมวรรณที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เขียนโดยนักประพันธ์ชาวสเปนชื่อ มิเกล เด เซรบันเตส โดยถูกเขียนขึ้นเป็นนิยายเสียดสีล้อเลียนนิยายอัศวิน ภาคแรกเขียนเมื่อปี พ.ศ. 2148 ฉบับแปลภาษาไทยแปลโดย สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ จากภาษาสเปน จัดพิมพ์ขึ้นเป็นพิเศษโดยรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรสเปนเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 ในโอกาสครบรอบสี่ร้อยปีของวรรณกรรมเรื่องนี้ โดยพิมพ์ครั้งแรกจำนวนสองเล่มเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถ หนึ่งเล่ม และสมเด็จพระราชาธิบดี ฆวน การ์ลอส ที่ 1 และสมเด็จพระราชินีโซเฟีย แห่งราชาอาณาจักรสเปน หนึ่งเล่ม ในวโรกาสเสด็จเยือนประเทศไทย พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ วรรณกรรมเล่มนี้ ได้ถูกนำมาสร้างเป็นละครบอร์ดเวย์ในชื่อ Man of La Mancha ซึ่งเพลง The Impossible Dream ที่ใช้ประกอบละครเรื่องนี้ถูกนำมาถอดความเป็นเพลงความฝันอันสูงสุด

เนื้อเรื่อง 

นวนิยายเรื่องนี้ กล่าวถึงขุนนางต่ำศักดิ์ผู้สูงอายุ และไร้เรี่ยวแรงคนหนึ่งแห่งแคว้นลามันช่า ซึ่งอ่านนิยายเกี่ยวกับอัศวินจนคลั่งไคล้และเริ่มมีความปรารถนาที่จะเป็นอัศวิน ในที่สุดจึงสร้างเกราะและหมวกจากกระดาษแข็ง นำม้าร่างผอมแห้งตัวหนึ่งมาตั้งชื่อว่าโรสินันเต้ หรือ “ม้าที่เคยทุรลักษณ์” จากนั้นจึงตั้งชื่อของตนใหม่ว่า ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า และเพื่อให้บรรลุอุดมการณ์แห่งอัศวินซึ่งเขาปรารถนา เพื่อกระทำความดีงามทั้งหลายในนามแม่หญิงแห่งดวงใจ เขาจึงได้สมมติเอาหญิงคนหนึ่งที่มีขนหน้าอก แต่มีฝีมือการหมักหมูเค็มอันเลอเลิศ มาเป็นแม่หญิงของตนและตั้งนามใหม่ให้นางว่า ดุลสิเนอา แห่งโตโบโซ โดยนางหาทราบไม่ จากนั้น เขาได้นำพา "ซานโช่ ปันซ่า" ชาวนาผู้หลงเชื่อว่าหากเป็นผู้ติดตามดอนกิโฆเต้ สักวันหนึ่งจะได้เป็นเจ้าของที่ดิน ร่วมผจญภัยไปด้วยกันโดยต่อสู้กับศัตรูร้ายในความคิดของดอนกิโฆเต้ เช่น กังหันลมซึ่งถูกสมมติว่าเป็นมังกร จากนั้น บรรดาญาติสนิทของดอนกิโฆเต้ จึงได้ร่วมติดตามและเดินทางไปด้วยกันเพื่อพาดอนกิโฆเต้กลับบ้าน แต่ขณะเดียวกัน จิตใจของเขาเหล่านั้นก็ถูกสั่นคลอนด้วยอุดมการณ์อัศวินจากชายวิกลจริต และได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องอันเหลือเชื่อ หากมิว่าอย่างไร ทุกคนก็ยังคงต้องพาท่านผู้สูงอายุกลับบ้าน


ละครเวที “สู่ฝันอันยิ่งใหญ่”

ละครเวทีบรอดเวย์ยิ่งใหญ่ของเมืองไทยเมื่อยี่สิบปีก่อน คงไม่มีเรื่องใดยิ่งใหญ่เกิน “สู่ฝันอันยิ่งใหญ่” ซึ่งแปลจาก The Man Of La Mancha เรื่องราวของ Don Quixote
จัดโดยคณะละคร “สองแปด” และ กรมศิลปากร
ยุทธนา มุกดาสนิท กำกับการแสดง

แสดงนำโดย ศรัญยู วงษ์กระจ่าง – จรัล มโนเพ็ชร – นรินทร ณ บางช้าง
ณ โรงละครแห่งชาติ
28 สิงหาคม – 9 กันยายน 2530
28 สิงหาคม – 2 กันยายน 2530 ศรัญยู วงศ์กระจ่าง แสดงเป็น ดอน กีโฮเต้
“ดอน กีโฮเต้” ส่วนที่เหลือจนจบการแสดง แสดงโดย จรัล มโนเพ็ชร
และมากกว่าศรัญยู 1 รอบ
โดยที่ทุกรอบ เอ๋’ นรินทร ณ บางช้าง แสดงเป็นสาวโสเภณีประจำโรงเตี๊ยมทุกรอบ
เช่นเดียวกับ สาธิต ชีวะประเสริฐ แสดงเป็น ซานโช ปานซ่า ตัวตามพระเอก
และนักแสดงสนับสนุนอีกไม่น้อยกว่า 50 ชีวิต นักดนตรีมากกว่า 40 คน


ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia และ pantip.com