อยู่นี่แล้ว


วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กลองก้ามปู - วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ


วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 2350 เดิมพระราชทานนามว่า “วัดมหาสุทธาวาส” โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสังฆาราม จึงเรียกกันว่า วัดพระโต วัดพระใหญ่ หรือวัดเสาชิงช้าบ้าง จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ การก่อสร้างวัด มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า “วัดสุทัศนเทพวราราม” ปรากฏในจดหมายเหตุว่า “วัดสุทัศนเทพธาราม” และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า "พระศรีศากยมุนี" "พระพุทธตรีโลกเชษฐ์" และ "พระพุทธเสรฏฐมุนี"

ภายในวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้อัญเชิญ พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีเมื่อ พ.ศ. 2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี (ที่มา http://th.wikipedia.org)


กลองก้ามปู - อณิกมุทิงคะ และ อฬัมพรเภรี

สุวรรณกักกฏกชาดก
ว่าด้วยปูทอง

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ หญิงคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ดังนี้

ได้ยินว่า ในเมืองสาวัตถี มีกฎุมพีคนหนึ่งพาภรรยาของตนไปยังชนบท เพื่อต้องการชำระหนี้สินให้หมดไป ครั้นชำระหนี้สินหมดแล้วก็เดินทางมา ถูกพวกโจรจับในระหว่างทาง ภรรยาของกฎุมพี นั้นเป็นผู้มีรูปสวยงามน่าเลื่อมใสยินดี หัวหน้าโจรปรารภจะฆ่ากฎุมพีเสีย เพราะความเสน่หาในนาง แต่นางเป็นสตรีมีศีล สมบูรณ์ด้วย อาจารมารยาท เคารพสามีดุจเทวดา นางจึงหมอบลงแทบเท้าของหัวหน้าโจรอ้อนวอนว่า ข้าแต่นายโจรผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านมีความเสน่หาดิฉัน ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันเลย ถ้าท่านจักฆ่า ดิฉันจักกินยาพิษ หรือกลั้นลมหายใจตาย ก็ดิฉันจักไม่ไปกับท่าน ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันโดยใช่เหตุเลย แล้วขอให้ปล่อยสามีนั้นไป พวกโจรก็ใจอ่อนยินยอมปล่อยสามีภรรยาคู่นั้นไป

ฝ่ายสามีภรรยา ทั้งสองนั้นถึงเมืองสาวัตถีโดยปลอดภัย เดินทางมาทางด้านหลังวิหารพระเชตวัน เข้าไปยังพระวิหารดื่มน้ำแล้วหารือกันว่าจักถวายบังคมพระศาสดา จึงเข้าไปยังบริเวณพระคันธกุฎี ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามสามีภรรยาทั้งสองนั้นว่า ไปไหนมา เขาทั้งสองจึงกราบทูลว่า ไปชำระหนี้สินมา พระเจ้าข้า เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ก็ในระหว่างทาง พวกท่านมากันโดยไม่มีความป่วยไข้หรือ ? กฎุมพีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในระหว่างทาง พวกโจรจับข้าพระองค์ทั้งสอง ในตอนนั้น ภรรยา ของข้าพระองค์คนนี้ได้อ้อนวอนนายโจรผู้จะฆ่าข้าพระองค์ ให้ปล่อยตัวมา เพราะอาศัยภรรยาผู้นี้ ข้าพระองค์ได้รอดชีวิตมา พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก มิใช่บัดนี้เท่านั้น ที่สตรีผู้นี้ได้ให้ชีวิตแก่ท่าน ถึงในกาลก่อน ก็ได้ให้แม้แก่บัณฑิตทั้งหลายอัน ครั้นกฎุมพีนั้นทูลอ้อนวอน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติในเมืองพาราณสี มีห้วงน้ำใหญ่อยู่ใกล้หิมวันตประเทศ ในห้วงน้ำใหญ่นั้น ได้มีปูทองตัวใหญ่อาศัยอยู่ในห้วงน้ำใหญ่นั้น ปรากฏชื่อว่า กุฬีรรหทะ แปลว่า หนองปู เพราะเป็นที่อยู่ของปูทองตัวนั้น ปูทองนั้นใหญ่โต ขนาดเท่าลานนวดข้าว จับช้างกิน ช้างทั้งหลายไม่อาจลงห้วงน้ำนั้นหาอาหารกินเพราะกลัวปูทองนั้น 

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์นางช้างพัง เพราะอาศัยช้างจ่าฝูงในฝูงช้างที่อาศัย กุฬีรรหทะสระอยู่ ลำดับนั้น มารดาของพระโพธิสัตว์นั้นคิดว่า จักรักษาครรภ์จึงไปยังถิ่นภูเขาอื่นรักษาครรภ์อยู่ จนคลอดบุตร พระโพธิสัตว์นั้นรู้เดียงสาขึ้นโดยลำดับ มีบริวารมาก สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม เป็นคล้ายกับภูเขาอันชัน พระโพธิสัตว์นั้นอยู่ร่วมกับนางช้างพังเชือกหนึ่ง คิดว่าจักจับปู จึงพาภรรยาและมารดาของตนเข้าฝูงช้างนั้นพบกับบิดาจึงกล่าวว่า พ่อ ฉันจักจับปู 

ลำดับนั้นบิดาได้ห้ามเขาว่า เจ้าจักไม่สามารถนะลูก พระโพธิสัตว์พูดกะบิดาผู้กล่าวอยู่บ่อย ๆ ว่า ท่านจักรู้กำลังของข้าพเจ้า พระโพธิสัตว์นั้นจึงให้ประชุมช้างทั้งหมดที่เข้าไปอาศัยห้วงน้ำกุฬีระอยู่ เดินไปใกล้ห้วงน้ำพร้อมกับช้างทั้งปวงแล้วถามว่า ปูนั้นจับช้างในเวลาลง ในเวลาหาอาหาร หรือในเวลาขึ้น ได้ฟังว่า ในเวลาขึ้น จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น แม้พวกท่านจงลงห้วงน้ำกุฬีระ หาอาหาร กินจนเพียงพอแล้วขึ้นมาก่อน เราจักอยู่ข้างหลัง 

ช้างทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้น ปูจึงเอาก้ามทั้งคู่หนีบสองเท้าพระโพธิสัตว์ซึ่งขึ้นภายหลังไว้แน่น เหมือนช่างทองเอาคีมใหญ่หนีบซี่เหล็กฉะนั้น นางช้างไม่ละทิ้งพระโพธิสัตว์ ได้ยืนอยู่ในที่ใกล้ๆ นั่นแหละ พระ โพธิสัตว์ดึงก็ไม่สามารถทำให้ปูเขยื้อน ส่วนปูลากพระโพธิสัตว์มาให้ตรงกับปากตน พระโพธิสัตว์ถูกมรณภัยคุกคาม จึงร้องว่าติดก้ามปู ช้างทั้งปวงกลัวมรณภัย ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท ขี้เยี่ยวราดหนีไป ฝ่ายนางช้างก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้เริ่มจะหนีไป ลำดับนั้น พระ โพธิสัตว์ได้ทำให้นางเข้าใจว่าตนถูกหนีบไว้ เพื่อจะไม่ให้นางหนีไป จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :

"ปูทอง มีนัยน์ตาอันยาว มีหนังเป็นกระดูก เป็นสัตว์อยู่ในน้ำ ไม่มีขน ฉันถูกปูทองนั้นหนีบไว้แล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าอย่าทิ้งฉันผู้คู่ชีวิตเสียเลย"

ลำดับนั้น ช้างพังนั้นจึงหันกลับ เมื่อจะปลอบโยนพระโพธิสัตว์ นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :

"ข้าแต่ท่านผู้เป็นลูกเจ้า  ดิฉันจักไม่ละทิ้งท่าน  ผู้เป็นช้างทรงกำลังถึง ๖๐ ปีเลย ท่านย่อมเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งของดิฉัน ยิ่งกว่าแผ่นดินซึ่งมีสมุทรสาครสี่เป็นขอบเขต"

ครั้นนางช้างทำพระโพธิสัตว์นั้นให้เข้มแข็ง แล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นเจ้า บัดนี้ ดิฉันเมื่อได้สนทนาปราศรัยกับปูทอง สักหน่อย จักให้ปล่อยท่าน เมื่อจะอ้อนวอนปูทองจึงกล่าวคาถา ที่ ๓ ว่า :

"ปูเหล่าใด อยู่ในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาก็ดี ในแม่น้ำยมุนาก็ดีท่านเกิดอยู่ในน้ำ ย่อมประเสริฐกว่าปูเหล่านั้น ขอท่านจงปล่อยสามีของดิฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด"

เมื่อนางช้างนั้นกำลังพูดอยู่ ปูได้ยินเสียงหญิง ก็ใจอ่อน จึงอ้าก้ามจากเท้าช้าง โดยหาได้รู้ไม่ว่า ช้างนี้เมื่อเราปล่อยแล้วจักกระทำอย่างนี้ เมื่อปูปล่อยช้างแล้ว ช้างจึงยกเท้าเหยียบหลังปูนั้น กระดองพังทลายไปในทันทีนั่นเอง ช้างนั้นจึงร้องขึ้นด้วยความยินดี 

ช้างทั้งปวงจึงประชุมกันนำเอาปูไปวางบนบก กระทืบให้ละเอียดเป็นจุรณวิจุรณไป ก้ามทั้งสองปูนั้นแตกออกจากร่างกระเด็นตกไปข้างหนึ่งของห้วงน้ำ ก็ห้วงน้ำที่มีปูอยู่นั้นต่อเนื่องเป็นอันเดียวกันกับแม่น้ำคงคา ในเวลาที่แม่น้ำคงคาเต็ม ก็เต็มไปด้วยน้ำในแม่น้ำคงคา เมื่อน้ำในแม่น้ำคงคาน้อย น้ำในห้วงก็ไหลลงสู่แม่น้ำคงคา ครั้งนั้น ก้ามปูทั้งสองก้ามนั้นก็ลอยไปในแม่น้ำคงคา ในก้ามปูสองก้ามนั้น ก้ามหนึ่งลอยเข้าไปยังมหาสมุทร พระราชาพี่น้อง ๑๐ องค์ เล่นน้ำอยู่ ได้ไปก้ามหนึ่งกระทำตระโพนชื่อว่าอณิกมุทิงคะ ส่วนอีกก้าม ที่ลอยเข้าไปยังมหาสมุทร พวกอสูรถือเอาไปแล้วให้กระทำเป็นกลอง ชื่ออฬัมพรเภรี ในกาลต่อมา พวกอสูรเหล่านั้นพ่ายแพ้ในสงครามกับท้าวสักกะ จึงทิ้งอฬัมพรเภรีนั้นหลบหนีไป ท้าวสักกะจึงให้ยึดเอาอฬัมพรเภรีนั้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่พระองค์ อาจารย์บางพวกหมายเอากลองนั้นกล่าวว่า กลองอฬัมพระ ดังกระหึ่ม ดุจเมฆคำรามฉะนั้น

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประ กาศสัจจะในเวลาจบสัจจะ สามีภรรยาแม้ ทั้งสองก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า ช้างพังในกาลนั้น ได้เป็นอุบาสิกาผู้นี้ ส่วนช้าง คือเราตถาคต ฉะนี้แล จบ สุวรรณกักกฏกชาดก (อ้างอิงจาก http://www.dharma-gateway.com


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 135
๗. สุวรรณกักกฏกชาดก  ว่าด้วยปูทอง

[๔๐๐] ปูทองมีนัยตาอันยาว มีหนังเป็นกระดูกเป็นสัตว์อยู่ในน้ำ ไม่มีขน ฉันถูกปูทองนั้นหนีบไว้แล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าอย่าทิ้งฉันผู้คู่ชีวิตเสียเลย.

[๔๐๑] ข้าแต่ท่านผู้เป็นลูกเจ้า ดิฉันจักไม่ละทิ้งท่านผู้เป็นช้างทรงกำลังถึง ๖๐ ปีเลยท่านย่อมเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งของดิฉันยิ่งกว่าเป็นต้นซึ่งมีสมุทรสาครทั้งสี่เป็นขอบเขต.

[๔๐๒] ปูเหล่าใดอยู่ในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาก็ดี ในแม่น้ำยมุนาก็ดี ท่านเกิดอยู่ในน้ำ ย่อมประเสริฐกว่าปูเหล่านั้น ขอท่านจงปล่อยสามีของดิฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด.  จบ สุวรรณกักกฏกชาดกที่ ๗

อรรถกถาสุวรรณกักกฏกชาดกที่ ๗

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภหญิงคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า สิงฺคี มิโค ดังนี้.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 136ได้ยินว่า ในเมืองสาวัตถี มีกฎุมพีคนหนึ่งพาภรรยาของตนไปยังชนบท เพื่อต้องการชำระหนี้สินให้หมดไป ครั้นชำระหนี้สินหมดแล้วก็เดินทางมา ถูกพวกโจรจับในระหว่างทาง. 

 ก็ภรรยาของกฎุมพีนั้นเป็นคนมีรูปสวยงามน่าเลื่อมใสยินดี. หัวหน้าโจรปรารภจะฆ่ากฎุมพีเสีย เพราะความเสน่หาในนาง แต่นางเป็นสตรีมีศีล สมบูรณ์ด้วยอาจารมารยาท เคารพสามีดุจเทวดา. นางจึงหมอบลงแทบเท้าของหัวหน้าโจรอ้อนวอนว่า ข้าแต่นายโจรผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านมีความเสน่หาดิฉัน ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันเลย ถ้าท่านนักฆ่า ดิฉันจักกินยาพิษหรือกลั้นลมหายใจตาย ก็ดิฉันจักไม่ไปกับท่าน ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันโดยใช่เหตุเลย แล้วขอให้ปล่อยสามีนั้นไป. 

 ฝ่ายสามีภรรยาทั้งสองนั้นถึงเมืองสาวัตถีโดยปลอดภัย เดินทางมาทางด้านหลังวิหารพระเชตวัน เข้าไปยังพระวิหารดื่มน้ำแล้วหารือกันว่าจักถวายบังคมพระศาสดา จึงเข้าไปยังบริเวณพระคันธกุฎี ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามนสามีภรรยาทั้งสองนั้นว่าไปไหนมา เขาทั้งสองจึงกราบทูลว่า ไปชำระหนี้สินมา พระเจ้าข้า.เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ก็ในระหว่างทาง พวกท่านมากันโดยไม่มีความป่วยไข้หรือ กฎุมพีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญในระหว่างทาง พวกโจรจับข้าพระองค์ทั้งสอง ในตอนนั้น ภรรยาของข้าพระองค์คนนี้ได้อ้อนวอนนายโจรผู้จะฆ่าข้าพระองค์ ให้ปล่อยตัวมา เพราะอาศัยภรรยาผู้นี้ ข้าพระองค์ได้รอดชีวิตมา

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 137

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก มิใช่บัดนี้เท่านั้น ที่สตรีผู้นี้ได้ให้ชีวิตแก่ท่าน ถึงในกาลก่อน ก็ได้ให้แม้แก่บัณฑิตทั้งหลายอันกฎุมพีนั้นทูลอ้อนวอน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี มีห้วงน้ำใหญ่อยู่ใกล้หิมวันตประเทศ.

ในห้วงน้ำใหญ่นั้นได้มีปูทองตัวใหญ่อาศัยอยู่. ห้วงน้ำใหญ่นั้น ปรากฏชื่อว่า กุฬีรรหทะแปลว่า หนองปู เพราะเป็นที่อยู่ของปูทองตัวนั้น. ปูทองนั้นใหญ่โตขนาดเท่าลานนวดข้าว จับช้างกิน เพราะกลัวปูทองนั้น ช้างทั้งหลายไม่อาจลงห้วงน้ำนั้นหาอาหารกิน. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์นางช้างพัง เพราะอาศัย ช้างจ่าฝูงในฝูงช้างที่อาศัยกุฬีรรหทะสระอยู่. 

 ลำดับนั้น มาราดาของพระโพธิสัตว์นั้นคิดว่าจักรักษาครรภ์จึงไปยังถิ่นภูเขาอื่นรักษาครรภ์อยู่จนคลอดบุตร. พระ-โพธิสัตว์นั้นรู้เดียงสาขึ้นโดยลำดับ มีบริวารมาก สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม เป็นคล้ายกับภูเขาอันชัน. พระ-โพธิสัตว์นั้นอยู่ร่วมกับนางช้างพังเชือกหนึ่ง คิดว่าจักจับปู จึงพาภรรยาและมารดาของตนเข้าฝูงช้างนั้นพบกับบิดาจึงกล่าวว่า พ่อฉันจักจับปู. ลำดับนั้นบิดาได้ห้ามเขาว่า เจ้าจักไม่สามารถนะลูก.พระโพธิสัตว์พูดกะบิดาผู้กล่าวอยู่บ่อย ๆ ว่า ท่านจักรู้กำลังของข้าพเจ้า.พระโพธิสัตว์นั้นจึงให้ประชุมช้างทั้งหมดที่เข้าไปอาศัยห้วงน้ำกุฬีระอยู่เดินไปใกล้ห้วงน้ำพร้อมกับช้างทั้งปวงแล้วถามว่า ปูนั้นจับช้างใน

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 138

เวลาลง ในเวลาหาอาหาร หรือในเวลาขึ้น ได้ฟังว่า ในเวลาขึ้นจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น แม้พวกท่านจงลงห้วงน้ำกุฬีระ. หาอาหารกินจนเพียงพอแล้วขึ้นมาก่อน เราจักอยู่ข้างหลัง. ช้างทั้งหลายได้การทำอย่างนั้น. ปูจึงเอาก้ามทั้งคู่หนีบสองเท้าพระโพธิสัตว์ซึ่งขึ้นภายหลังไว้แน่น เหมือนช่างทองเอาคีมใหญ่หนีบซี่เหล็กฉะนั้น.นางช้างไม่ละทิ้งพระโพธิสัตว์ ได้ยืนอยู่ในที่ใกล้ ๆ นั่นแหละ. พระโพธิสัตว์ดังก็ไม่สามารถทำให้ปูเขยื้อน. ส่วนปูลากพระโพธิสัตว์มาให้ตรงปากตน. พระโพธิสัตว์ถูกมรณภัยคุกคาม จึงร้องว่าติดก้ามปู.

ช้างทั้งปวงกลัวมรณภัย ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาทขี้เยี่ยวราดหนีไป.ฝ่ายนางช้างก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้เริ่มจะหนีไป. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้ทำให้นางเข้าใจว่าตนถูกหนีบไว้ เพื่อจะไม่ให้นางหนีไป

จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-ปูทองมีนัยน์ตายาว มีหนังเป็นกระดูกอาศัยขอยู่ในน้ำ ไม่มีขน ฉันถูกปูทองนั้นหนีบไว้แล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าอย่าทิ้งฉันผู้คู่ชีวิตเสียเลย.บรรดาบทเหล่านั้น ทว่า สิงฺคี มิโค ได้แก่ มฤคมีสีเหมือนสีทอง มีเขา อธิบายว่า ชื่อว่ามีเขา เพราะประกอบด้วยก้ามทั้งสองอันยังกิจที่จะพึงทำด้วยเขาให้สำเร็จ. ส่วนกุฬีระคือปู ท่านเรียกว่ามิคะคือมฤคในที่นี้โดยถือเอาอย่างรวบยอด. 

ในบทว่า อายตพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 139

จกฺขุเนตฺโต นี้ที่ชื่อว่าจักษุ เพราะอรรถว่าเห็น, ที่ชื่อว่าเนตรเพราะอรรถว่านำไป, เนตรกล่าวคือจักษุของปูนั้นยาว เพราะเหตุนั้นชื่อว่ามีเนตรคือจักษุยาว อธิบายว่ามีนัยน์ตายาว. ชื่อว่ามีหนังเป็นกระดูก เพราะกระดูกเท่านั้นทำกิจคือหน้าที่ของหนังให้สำเร็จแก่ปูนั้น. บทว่า เตนาภิภูโต ความว่า ถูกมฤคนั้นนั่นแหละครอบงำคือท่วมทับ ได้แก่จับไว้เคลื่อนไหวไม่ได้. 

 บทว่า กปณรุทามิความว่า เราเป็นผู้ถึงความเป็นผู้น่ากรุณาร้องคร่ำครวญอยู่. บทว่ามา เหว ม ความว่า ท่านอย่าได้ทอดทิ้งข้าพเจ้าผู้เป็นสามที่รักผู้เสมอกับลมปราณของตน ผู้ถึงความพินาศเห็นปานนี้.ลำดับนั้น ช้างพังนั้นจึงหันกลับ เมื่อจะปลอบโยนพระโพธิสัตว์

นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-ข้าแต่เจ้า ดิฉันจักไม่ละทิ้งท่านผู้เป็นช้างทรงกำลังถึง ๖๐ ปี ท่านย่อมเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งของดิฉัน ยิ่งกว่าปฐพีอันมีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต.บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฏิหายน ความว่า ก็ในเวลามีอายุ ๖๐ ปี โดยกำเนิด ช้างทั้งหลายย่อมเสื่อมถอยกำลัง ดิฉันนั้นจักไม่ละทิ้งท่านผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังอย่างนี้ ผู้ถึงความพินาศ ท่านอย่ากลัว เพราะว่าท่านเป็นที่รักยิ่งของดิฉัน กว่าปฐพีนี้อันตั้งจรดมหาสมุทรในทิศทั้ง ๔ ชื่อว่ามีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นแดนสุด.


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 140


ครั้นนางช้างทำพระโพธิสัตว์นั้นให้เข้มแข็ง แล้วจึงกล่าวว่าข้าแต่ท่านผู้เป็นเจ้า บัดนี้ ดิฉันเมื่อได้สนทนาปราศรัยกับปูทองสักหน่อย จักให้ปล่อยท่าน เมื่อจะอ้อนวอนปูทองจึงกล่าวคาถา

ที่ ๓ ว่า :-ปูเหล่าใด อยู่ในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาก็ดี ในแม่น้ำยมุนาก็ดี ท่านเป็นสัตว์น้ำผู้ประเสริฐกว่าปูเหล่านั้น ขอท่านจงปล่อยสามีของดิฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด.เนื้อความของคำที่เป็นคาถานั้นว่า ปูเหล่าใดในมหาสมุทรก็ดีในแม่น้ำคงคาหรือยมุนาก็ดี ท่านเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐกว่าปูเหล่านั้นทั้งหมด โดยความถึงพร้อมด้วยวรรณะและโดยความเป็นใหญ่ด้วยเหตุนั้น ดิฉันจึงขออ้อนวอนท่าน ขอท่านโปรดปล่อยสามีของดิฉันผู้กำลังร้องไห้อยู่เถิด.

เมื่อนางช้างนั้นกำลังพูดอยู่ ปูได้ถือนิมิตในเสียงหญิง เป็นผู้มีใจถูกดึงลง จึงอ้าก้ามจากเท้าช้างหาได้รู้อะไรบ้างว่า ช้างนี้เราปล่อยแล้วจักกระทำชื่อสิ่งนี้. ลำดับนั้น ช้างจึงยกเท้าเหยียบหลังนั้นกระดองพังทลายไปในทันทีนั่นเอง ช้างร้องขึ้นด้วยความยินดี.ช้างทั้งปวงจึงประชุมกันนำเอาปูไปวางบนบก กระทืบให้ละเอียดเป็นจุรณวิจุรณไป. ก้ามทั้งสองปูนั้นแตกออกจากร่างกระเด็นตกไปยัง

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 141


ส่วนข้างหนึ่ง. ก็ห้วงน้ำที่มีปูอยู่นั้นเนื่องเป็นอันเดียวกันกับแม่น้ำคงคา ในเวลาที่แม่น้ำคงคาเต็ม ก็เต็มไปด้วยน้ำในแม่น้ำคงคาเมื่อน้ำแม่น้ำคงคาน้อย น้ำในห้วงก็ไหลลงสู่แม่น้ำคงคา. ครั้งนั้นก้ามปูแม้ทั้งสองก้ามนั้นก็ลอยไปในแม่น้ำคงคา. ในก้ามปูสองก้ามนั้นก้ามหนึ่งลอยเข้าไปยังมหาสมุทร พระราชาพี่น้อง ๑๐ องค์ เล่นน้ำอยู่ ได้ไปก้ามหนึ่งกระทำตระโพนชื่อว่าอณิกมุทิงคะ ส่วนอีกก้ามที่ลอยเข้าไปยังมหาสมุทร พวกอสูรถือเอาไปแล้วให้กระทำเป็นกลองชื่ออฬัมพรเภรี. ในกาลต่อมา พวกอสูรเหล่านั้นถูกท้าวสักกะให้พ่ายแพ้ในสงคราม จึงทิ้งอฬัมพรเภรีนั้นหลบหนีไป. ลำดับนั้นท้าวสักกะให้ยึดเอาอฬัมพรเภรีนั้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่พระองค์.

อาจารย์บางพวกหมายเอากลองนั้นกล่าวว่า กลองอฬัมพระดังกระหึ่มดุจเมฆคำรามฉะนั้นพระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประ-กาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ สามีภรรยาแม้ทั้งสองก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ช้างพังในกาลนั้น ได้เป็นอุบาสิกาผู้นี้ ส่วนช้าง คือเราตถาคต ฉะนี้แล.  จบ อรรถกถาสุวรรณกักกฏกชาดกที่ ๗ (อ้างอิงจาก http://www.thepalicanon.com)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น